รีวิว ฟิลเลอร์ใต้ตา หมอเมฆ
ฟิลเลอร์ใต้ตา หมอเมฆ

สำหรับใครที่กำลังคิดอยากฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ถุงใต้ตา เพื่อแก้ไขปัญหาใต้ตาเสื่อมโทรม แต่ไม่รู้ว่าควรฉีด Filler ใต้ตาที่ไหนดี ฉีดแล้วดีอย่างไร ฉีดกับหมอคนไหนถึงจะไว้ใจได้ หรือฉีดกับหมอเมฆราคาเท่าไหร่ เพราะบางทีมือใหม่ก็ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นหาข้อมูลจากตรงไหนก่อนดี วันนี้เราจึงจะพาทุกคนไปไขข้อข้องใจ เจาะลึกทุกข้อที่ควรรู้เกี่ยวกับฟิลเลอร์ใต้ตา รับรองว่าต่อให้เป็นคนที่เพิ่งเข้าวงการก็สามารถทำความเข้าใจได้อย่างง่าย ๆ แน่นอนค่ะ

เลือกเนื้อหาที่ต้องการอ่าน

ฟิลเลอร์ใต้ตา คืออะไร

เมื่ออายุมากขึ้น หรือมีปัจจัยรอบข้างที่ส่งผลกระทบให้ร่างกายเสื่อมโทรมลงเร็วกว่าที่ควร ปัญหาใต้ตามักจะเป็นปัญหาแรก ๆ ที่สะท้อนถึงความเสื่อมโทรมของร่างกาย ทั้งใต้ตาดำ ขอบตาลึก ตาโหล ปัญหาถุงใต้ตา ไปจนถึงริ้วรอย รอยย่นต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้ การฉีดฟิลเลอร์ที่บริเวณใต้ตาจึงเป็นนวัตกรรมที่จะเข้ามาช่วยฟื้นฟู ช่วยแก้ปัญหาใต้ตาเสื่อมโทรมได้อย่างเห็นผลดี นั่นเพราะเป็นการฉีดสารไฮยาลูรอนิค แอซิด (HA-Filler) เข้าไปยังบริเวณที่ต้องการแก้ไขปัญหา ซึ่งฟิลเลอร์จะทำหน้าที่เสมือนคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย เข้าไปเติมเต็มริ้วรอยและร่องลึกบริเวณใต้ตา ช่วยให้ผิวใต้ตาเรียบเนียน ยกกระชับ และกระจ่างใสขึ้น ฟิลเลอร์ใต้ตา คือ อีกหนึ่งสิ่งที่น่าสนใจที่สามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวได้ จึงเปรียบเสมือนการฉีด filler ใต้ตาบำรุงให้ผิวกลับมามีความยืดหยุ่น แข็งแรงขึ้น ทั้งยังช่วยเพิ่มความชุ่มชื้น เพราะคุณสมบัติเด่นของฟิลเลอร์เป็นสารอุ้มน้ำ ในระหว่างที่ฉีดมันจึงทำหน้าที่กักเก็บน้ำไว้คอยหล่อเลี้ยงเซลล์ผิวหนังบริเวณใกล้เคียงให้มีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา ผิวของเราจึงมีสุขภาพดีขึ้นนั่นเองค่ะ

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยอะไร

คนเราเมื่ออายุมากขึ้น กระดูกใต้ตาจะเริ่มกร่อนตัวลงจนทำให้ตาโบ๋ลึก และที่เลี่ยงไม่ได้คือ ปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ อันเกิดจากผิวเสื่อมสภาพลง จึงเกิดเป็นปัญหาใต้ตาต่าง ๆ ตามมา ทำให้ใบหน้าดูโทรม ดูเหนื่อยล้า ดูแก่ ซึ่งปัญหาใต้ตาที่เกิดขึ้นสามารถแก้ไขได้ด้วยการฉีดเติมฟิลเลอร์ มาดูกันค่ะว่าฟิลเลอร์ใต้ตา ช่วยอะไรได้บ้าง

  • ช่วยแก้ไขปัญหาถุงใต้ตา ปัญหาใต้ตาหย่อนคล้อย
  • ช่วยแก้ปัญหาเบ้าตาลึก ตาโหล
  • ช่วยแก้ปัญหาขอบตาดำ ใต้ตาคล้ำ ตาแพนด้า
  • ช่วยแก้ปัญหาริ้วรอยและร่องลึกใต้ตา
  • ช่วยปรับโหงวเฮ้งให้แก่ใบหน้า เพราะการมีดวงตาสดใส เต็มอิ่ม ไม่ดำคล้ำ เชื่อว่าจะส่งเสริมเรื่องความร่ำรวยศรีสุข ลูกหลานเจริญรุ่งเรือง

ถุงใต้ตา คือส่วนไหน

ถุงใต้ตาเกิดขึ้นจากการที่ร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตหรืออายุที่มากขึ้น มีลักษณะเป็นถุงหย่อนคล้อยอยู่บริเวณเบ้าตาด้านล่าง บางรายมีการกระจายเป็นวงกว้างอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ใบหน้าดูโทรม ดูเหมือนคนพักผ่อนไม่เพียงพอ โดยสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท

ถุงใต้ตาแท้

ถุงใต้ตาชนิดนี้จะไม่สามารถหายได้เอง สามารถเกิดได้จาก 2 สาเหตุ

  • พันธุกรรม เป็นลักษณะที่ถ่ายทอดมาจากคนในครอบครัว มักเกิดจากโครงสร้างของกะโหลกที่ทำให้เบ้าตาดูลึกจนมองเห็นถุงใต้ตาได้ชัดเจน
  • การทำงานผิดปกติของระบบต่อมไร้ท่อ เมื่อต่อมไร้ท่อที่อยู่ในร่างกายทำงานผิดปกติ ไขมันหรือของเหลวต่าง ๆ ก็จะไหลมาคั่งบริเวณเบ้าตาด้านล่าง เกิดเป็นถุงใต้ตาปูดบวมขึ้น
  • ผิวเสื่อมสภาพจากอายุมากขึ้น ปกติบริเวณใต้ตาของคนเราจะมีพังผืดตามธรรมชาติกั้นเบ้าตา ทำให้ไขมันและของเหลวข้างในไม่สามารถปูดออกมาได้ แต่เมื่ออายุมากขึ้น เนื้อเยื่อต่าง ๆ ก็จะค่อย ๆ เสื่อมสภาพ ชั้นพังผืดตามธรรมชาติหย่อนคล้อยลง ไม่สามารถกั้นได้ดีเหมือนเดิม มีผลให้ไขมันเคลื่อนตัวลงมา เราจึงเห็นไขมันเหล่านั้นปูดบวมออกมากลายเป็นถุงใต้ตา
  • กระดูกใต้ตากร่อนตัวลง เป็นอีกหนึ่งความเสื่อมโทรมของร่างกายที่เกิดจากอายุที่มากขึ้น เมื่อกระดูกเบ้าตาเกิดการกร่อนลง เนื้อเยื่อที่พยุงถุงไขมันใต้ตาก็จะหย่อนคล้อยลง ทำให้เห็นเป็นถุงใต้ตาชัดเจน

ถุงใต้ตาเทียม

เป็นถุงใต้ตาชั่วคราวที่เกิดจากการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น นอนดึก ใช้สายตาเยอะ ร้องไห้ เป็นต้น มักเกิดจากอาการบวมน้ำหรือระบบไหลเวียนในร่างกายไม่ดี จึงทำให้มีของเหลวไปคั่งอยู่ใต้ดวงตา ถุงใต้ตาประเภทนี้จะสามารถหายได้เองภายในเวลาไม่กี่ชั่วโมง

โดยส่วนมากประเภทถุงใต้ตาที่สามารถแก้ไขได้ด้วยการเติม filler ใต้ตาคือ ถุงใต้ตาแท้ค่ะ เพราะ HA-Filler ก็เปรียบเสมือนคอลลาเจนตามธรรมชาติที่จะช่วยพยุงชั้นพังผืด ชั้นกล้ามเนื้อ ชั้นไขมัน และรองรับส่วนของเบ้าตาที่กร่อนตัวลงได้

ถุงใต้ตากับดอลลี่อายต่างกันอย่างไร

ถุงใต้ตาและดอลลี่อาย แม้จะเป็นถุงบริเวณใต้ตาเหมือนกัน แต่มันมีลักษณะแตกต่างกันและเป็นคนละส่วนกันนะคะ โดยสามารถจำแนกได้ง่าย ๆ ดังนี้

  • ดอลลี่อาย คือ มัดกล้ามเนื้อเส้นเล็ก ๆ บริเวณขอบตาล่าง มีลักษณะเรียว ขอบชัด ไม่หย่อนคล้อย เป็นส่วนที่ชิดกับขอบตาล่าง ดูโดยรวมแล้วจะกลมกลืนเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของตา ทำให้ใบหน้าดูสดใส ดูเด็กลงเวลายิ้ม
  • ถุงใต้ตา คือ ถุงไขมันบริเวณใต้ตาล่างจะอยู่ต่ำกว่าดอลลี่อาย มีลักษณะใหญ่กว่า กว้างกว่า มองแล้วจะเห็นเป็นถุงหย่อนยานอยู่บริเวณใต้ตา ซึ่งการมีถุงใต้ตาจะทำให้หน้าดูแก่ ดูโทรม ดูเหมือนคนพักผ่อนไม่เพียงพอค่ะ

ปัญหาใต้ตามีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง

ก่อนจะคิดแก้ไขปัญหาด้วยการฉีด filler ใต้ตานั้น แน่นอนว่าเราจำเป็นต้องรู้ถึงสาเหตุของปัญหาก่อน เพื่อจะได้หาทางแก้ไขได้อย่างตรงจุด ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว ปัญหาใต้ตาสามารถเกิดได้จากต้นเหตุหลัก ๆ เหล่านี้

อายุที่มากขึ้น

เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายคนเราจะเริ่มเสื่อมสภาพลง ผิวหนังจะเริ่มหย่อนคล้อย อันเป็นผลมาจากคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวเริ่มผลิตได้น้อยลง ผิวจึงขาดความยืดหยุ่น เกิดเป็นริ้วรอยร่องลึก นอกจากนี้ อายุยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้กระดูกใต้ตาเกิดการกร่อนตัวลง รวมถึงชั้นไขมันใต้ตาที่จะฝ่อบางลงตามอายุที่มากขึ้น นี่จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้สูงอายุจึงมีเบ้าตาที่ลึกโหลมากกว่าตอนยังเป็นหนุ่มสาว

โรคประจำตัวบางโรค

เช่น โรคภูมิแพ้ เมื่อภูมิแพ้ขึ้นตา ระบบไหลเวียนเลือดจะเกิดการติดขัด ทำให้เส้นเลือดบริเวณผิวหนังใต้ตาขยายตัว จึงเห็นเป็นร่องรอยดำคล้ำ นอกจากนี้ โรคภูมิแพ้ยังส่งผลให้เกิดการระคายเคืองบริเวณดวงตา ทำให้ต้องขยี้หรือสัมผัสแรง ๆ อันเป็นการกระตุ้นให้เกิดริ้วรอยรอบดวงตาได้อีกด้วย

พันธุกรรม

บางคนมีการเจริญเติบโตของกระดูกช่วงเบ้าตาและใต้ตาไม่ดี ทำให้มีโอกาสเกิดร่องใต้ตา ถุงใต้ตาได้มากขึ้น

พฤติกรรมบางอย่างในชีวิตประจำวัน

เช่น พฤติกรรมนอนดึก พฤติกรรมชอบขยี้ตา พฤติกรรมเช็ดเครื่องสำอางรอบดวงตาไม่สะอาด เป็นต้น

ซึ่งปัจจัยทั้งหมดนี้ คือ เหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้ผิวรอบดวงตาเกิดริ้วรอย เกิดความหมองคล้ำ เกิดปัญหาถุงใต้ตา เบ้าตาลึก ตาโหล หากใครที่กำลังประสบกับปัญหาเหล่านี้ แนะนำว่าให้เข้าพบคุณหมอเพื่อประเมินปัญหาและแนะนำวิธีการรักษา ว่าควรทำการฉีดฟิลเลอร์ที่บริเวณใต้ตาหรือไม่ โดยคุณหมอจะคำนึงถึงปัญหา สภาพผิวของคนไข้ และความต้องการของคนไข้เป็นหลัก เพื่อให้ผลการรักษาออกมาดูดีและมีประสิทธิภาพมากที่สุด

ฉีด Filler ใต้ตา แก้ปัญหาได้ตรงจุดจริงเหรอ

ปัญหาใต้ตามักเกิดจากการที่ผิวสูญเสียคอลลาเจนและอีลาสติน อันมีที่มาจากอายุที่มากขึ้น หรืออาจเกิดได้จากร่างกายที่เริ่มเสื่อมสภาพลงจากเหตุผลอื่น ๆ เช่น ภาวะความเครียด หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ ซึ่งสาเหตุที่ทำให้การฉีด filler ใต้ตากลายเป็นการแก้ปัญหาอย่างตรงจุดที่สุด นั่นเพราะสารไฮยาลูรอนิค แอซิด ที่ฉีดเข้าสู่ผิวของเราเป็นสารที่สร้างเลียนแบบสารประกอบคอลลาเจนตามธรรมชาติในร่างกายมนุษย์ ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์จึงเปรียบเสมือนการเติมคอลลาเจนในส่วนที่ขาด เพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ผิว นอกจากจะช่วยในเรื่องของความเรียบเนียนอิ่มฟูแล้ว ฟิลเลอร์ใต้ตา เกาหลี ยังช่วยให้ผิวใต้ตาแข็งแรงขึ้นอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้น ยังสามารถช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว จึงทำให้แม้ฟิลเลอร์จะสลายตัวจนหมด คอลลาเจนที่ยังหลงเหลืออยู่ในชั้นผิวก็ทำให้ผิวใต้ตายังคงดูดี ไม่กลับไปโทรมเหมือนก่อนทำอีกด้วยค่ะ

ปัญหาแบบไหนควรฉีดเพื่อแก้ไข

ปัญหาใต้ตาที่สามารถแก้ได้ด้วยฟิลเลอร์ ได้แก่

  • ปัญหาร่องใต้ตา ร่องน้ำตา
  • ปัญหาถุงใต้ตา ใต้ตาหย่อนคล้อย
  • ปัญหาขอบตาดำ ใต้ตาดำ ตาแพนด้า
  • ปัญหาเบ้าตาลึก ตาโหล
  • ปัญหาริ้วรอยรอบดวงตา ใต้ตาเหี่ยว มีรอยย่น รอยตีนกา

ถุงใต้ตาแบบไหนที่เหมาะกับการฉีดฟิลเลอร์

ถุงใต้ตาของคนเราจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

ถุงใต้ตาแท้

เกิดได้จากกรรมพันธุ์หรือการเสื่อมสภาพของร่างกายเมื่ออายุมากขึ้น อันเป็นผลมาจากกระดูกใต้ตายุบตัวลง หรือเป็นเพราะผิวเสื่อมสภาพ ทำให้ผนังกั้นเปลือกตาล่างอ่อนแอลง ไขมันใต้ตาจึงหย่อนลงมาเป็นถุงใต้ตา หรืออีกกรณีหนึ่งก็คือ เมื่ออายุุมากขึ้น เนื้อเยื่อภายในของผิวใต้ตาจะยืดตัวออก ทำให้เห็นเป็นถุงใต้ตาที่มีลักษณะเหมือนผิวหย่อนคล้อย

ถุงใต้ตาเทียม

จะสังเกตได้ว่าถุงใต้ตาจะบวมขึ้นเพียงชั่วคราว สามารถหายได้เอง แต่ก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้บ่อยมาก มักเกิดจากพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ถุงใต้ตาบวมจากการร้องไห้ ถุงใต้ตาบวมจากการนอนดึก ถุงใต้ตาบวมจากอาการภูมิแพ้ เป็นต้น

ซึ่งการฉีดฟิลเลอร์ถุงใต้ตาจะนิยมใช้เพื่อแก้ปัญหาถุงใต้ตาแท้ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นถุงใต้ตาแท้จากการยุบตัวลงของกระดูกใต้ตา หรือจากปัญหาผิวใต้ตาเสื่อมสภาพ HA-Filler ก็สามารถช่วยได้ นั่นเพราะฟิลเลอร์สามารถทดแทนกระดูกและเนื้อเยื่อที่ยุบตัว ทำให้ผิวบริเวณใต้ตาเรียบเนียนขึ้น ถุงใต้ตาจึงดูเล็กลงค่ะ ส่วนปัญหาถุงใต้ตาเทียมสามารถรักษาได้โดยการเลี่ยงปัจจัยการเกิด หรือบรรเทาด้วยวิธีง่าย ๆ เช่น ประคบตาด้วยถุงชา เป็นต้น แต่ถ้าใครที่มีปัญหาถุงใต้ตาเทียมบ่อย ๆ และต้องการจะแก้ปัญหาด้วยการฉีดเติมฟิลเลอร์ แนะนำให้เข้าพบคุณหมอเพื่อปรึกษาปัญหาและขอคำแนะนำได้ค่ะ

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะกับใครบ้าง

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเติมเต็มความสดใสให้กับดวงตา หรือผู้ที่มีปัญหาเหล่านี้

  • ผู้ที่มีปัญหาใต้ตาหมองคล้ำ ไม่สดใส ทำให้ใบหน้าดูโทรม
  • ผู้ที่มีปัญหาถุงใต้ตาทำให้หน้าดูเหนื่อยตลอดเวลา
  • ผู้ที่มีปัญหารอบดวงตาโบ๋หรือเบ้าตาลึก
  • ผู้ที่มีปัญหาความหย่อนคล้อย หรือมีริ้วรอยใต้ตา
  • ผู้ที่มีปัญหาบริเวณใต้ตาที่เกิดจากกรรมพันธุ์ หรือจากการยุบตัวของเนื้อเยื่อและกระดูก
  • ผู้ที่ต้องการแก้ไขปัญหาบริเวณใต้ตา แต่ไม่ต้องการทำศัลยกรรม

เลือกฟิลเลอร์ยี่ห้อไหนดีที่เหมาะสำหรับฉีดถุงใต้ตา

ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี โดยในปัจจุบัน ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมมีอยู่หลายยี่ห้อด้วยกัน ซึ่งแต่ละรุ่นก็จะมีคุณสมบัติและวัตถุประสงค์ในการใช้แตกต่างกันออกไป แต่ถ้าต้องฉีดควรจะเลือกยี่ห้อไหนดี เราก็ขอแนะนำเป็น 4 ยี่ห้อดังนี้ค่ะ

Restylane

Restylane

ผลิตโดยบริษัท Q-MED AB จากประเทศสวีเดน และนำเข้าประเทศไทยโดยบริษัท Galderma เป็นยี่ห้อฟิลเลอร์ที่มีความคงตัวสูง โดดเด่นในเรื่องของโมเลกุล เนื่องจากเป็นยี่ห้อที่ถูกปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางโมเลกุลน้อยที่สุด จึงมีความใกล้เคียงกับสารไฮยาลูรอนในร่างกายมนุษย์มาก โอกาสเกิดอาการแพ้จึงน้อยตามไปด้วย

ตัวอย่างรุ่นที่เหมาะสำหรับฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา Restylane

  • Restylane perlane lyft เนื้อฟิลเลอร์มีความคงตัวสูง เหมาะสำหรับฉีดเพื่อทดแทนการยุบตัวของกระดูกในผิวชั้นลึก
  • Restylane vital light รุ่นนี้จะมีเนื้อละเอียด ไม่เป็นก้อน เหมาะสำหรับฉีดเพื่อเก็บรายละเอียดร่องใต้ตาชั้นบน
  • Restylane classic เนื้อเจลอนุภาคใหญ่ เหมาะสำหรับใช้แก้ปัญหาริ้วรอยระดับปานกลางถึงมาก
Juvederm

Juvederm

เป็นฟิลเลอร์จากอเมริกา นำเข้าโดยบริษัท Allergan จุดเด่นคือ เนื้อฟิลเลอร์จะถูกออกแบบมาให้มีความยืดหยุ่นสูง จึงสามารถอยู่ได้นานมากยิ่งขึ้น และหลังฉีดสามารถลดอาการบวมได้มากกว่าฟิลเลอร์ยี่ห้ออื่น ๆ เนื่องจากผลิตด้วยเทคโนโลยี Vycross ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของฟิลเลอร์ยี่ห้อนี้

ตัวอย่างรุ่นที่เหมาะสำหรับฉีดบริเวณใต้ตาของ Juvederm

  • Juvederm voluma เนื้อฟิลเลอร์มีความหนาแน่นและคงตัวได้ดี เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ใช้ฉีดเพื่อทดแทนการยุบตัวของกระดูกในผิวชั้นลึก
  • Juvederm Volbella เนื้อฟิลเลอร์เป็นเจลนิ่ม ๆ เหมาะสำหรับฉีดเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและแก้ไขริ้วรอยบริเวณใต้ตา
  • Juvederm Volift เป็นฟิลเลอร์เนื้อนิ่มปานกลาง ไม่ไหลง่าย เหมาะสำหรับฉีดเพื่อเติมเต็มร่องลึกต่าง ๆ
Belotero

Belotero

เป็นสารเติมเต็มจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นำเข้าโดยบริษัท Merz Aesthetics มีคุณสมบัติเด่นคือ เป็นเนื้อเจลที่มีความคงตัวสูง ผลิตด้วยเทคโนโลยี CPM ซึ่งเป็นนวัตกรรมพิเศษเฉพาะ ทำให้เนื้อเจลมีความเรียบเนียน กลืนกับผิวหน้าได้ดี

ตัวอย่างรุ่นที่เหมาะสำหรับฉีดตำแหน่งใต้ตาของ Belotero

  • Belotero Soft กล่องสีเหลือง เหมาะสำหรับใช้ฉีดเพื่อแก้ไขปัญหาร่องใต้ตา และเพื่อแก้ปัญหาริ้วรอยบริเวณผิวชั้นนอก
  • Belotero volume กล่องสีม่วง เนื้อฟิลเลอร์มีความยืดหยุ่นและคงตัว สามารถใช้ฉีดเสริมกระดูกใต้ตาชั้นลึก หรือแก้ไขปัญหาใต้ตาจากสาเหตุการทรุดตัวของกระดูก
Yvoire

YVOIRE

เป็นสารเติมเต็มที่พัฒนาโดยบริษัท LG Chem จากประเทศเกาหลีใต้ โดดเด่นเรื่องเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิต ซึ่งใช้เป็นเทคโนโลยี HICE Cross-Link ที่มีความปลอดภัยสูง ช่วยเพิ่มระยะเวลาของการยึดเกาะ ทำให้ผิวสัมผัสของเนื้อฟิลเลอร์เรียบเนียน ไม่เป็นก้อน

ตัวอย่างรุ่นที่เหมาะสำหรับฉีดของ yvoire filler ใต้ตา

  • YVOIRE Classic กล่องสีเขียว เนื้อฟิลเลอร์ไม่ไหล ไม่ย้อย ฉีดแล้วมีความเรียบเนียน เหมาะสำหรับฉีดลดเลือนริ้วรอย เติมเต็มในผิวชั้นตื้น
  • YVOIRE Volumn กล่องสีม่วง เนื้อมีความคงตัว ขึ้นรูปดี เหมาะสำหรับฉีดเสริมกระดูกใต้ตา

การฉีด Filler ตำแหน่งใต้ตา ควรเลือกอย่างไร

โดยส่วนมาก การทำหัตถการฉีด filler ใต้ตาจะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่

  1. ใช้ฉีดเพื่อทดแทนการยุบตัวของกระดูกในผิวชั้นลึก ต้องเลือกฟิลเลอร์ที่มีความคงตัวสูง จะได้สามารถพยุงผิวได้ใกล้เคียงกับกระดูกมากที่สุด
  2. ใช้ฉีดเพื่อเก็บรายละเอียดบริเวณร่องตาชั้นบน ควรเลือกใช้ฟิลเลอร์เนื้อละเอียด ซึ่งเนื้อฟิลเลอร์ชนิดนี้จะช่วยเติมเต็มริ้วรอยให้ผิวใต้ตาเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่เป็นก้อน

ฟิลเลอร์ทั้ง 2 ชนิดนี้สามารถฉีดร่วมกันได้ โดยอาจฉีดเพื่อเติมเต็มในผิวชั้นลึกก่อน แล้วค่อยใช้ฟิลเลอร์เนื้อละเอียดตกแต่งผิวชั้นบน ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ แต่ถ้าหากจะกล่าวถึงฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ดีที่สุด เราจึงต้องอธิบายว่าไม่มีการฉีดด้วยยี่ห้อไหนดีที่สุดนะคะ แต่ละรุ่นล้วนถูกผลิตขึ้นเพื่อจุดประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น การจะเลือก filler ใต้ตา ยี่ห้อไหนดี จึงควรคำนึงถึงความเหมาะสมเป็นหลัก พิจารณาว่ายี่ห้อไหน รุ่นไหน เหมาะกับเราที่สุด ซึ่งในส่วนนี้แพทย์จะเป็นผู้ให้คำแนะนำก่อนฉีดอยู่แล้วค่ะ

ข้อดี-ข้อเสียของการฉีด Filler ใต้ตา

ข้อดี

  • การฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตาเหมาะสำหรับคนที่ไม่อยากผ่าตัด ไม่อยากพักฟื้น ไม่อยากเสี่ยงต่อการเกิดบาดแผลหลังทำ
  • สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ทันที
  • เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูง
  • เป็นวิธีที่สะดวก ใช้เวลาในการฉีดเพียงไม่กี่นาที
  • เป็นวิธีที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถฉีดเพิ่มหรือฉีดสลายได้โดยไม่เป็นอันตราย (ในกรณีที่ใช้ฟิลเลอร์ของแท้เท่านั้น)
  • สามารถแก้ไขปัญหาผิวรอบดวงตาอย่างได้ผลดี และเห็นผลได้ชัดเจน

ข้อเสีย

  • ผลลัพธ์ไม่สามารถอยู่ได้ถาวร แต่สามารถฉีดเติมได้เรื่อย ๆ โดยไม่เป็นอันตรายเพื่อคงผลลัพธ์ไว้
  • มีผลข้างเคียงคืออาการบวม หรือรอยเข็มเล็ก ๆ ซึ่งสามารถหายได้เองภายใน 2-7 วัน
  • ในปัจจุบันมีฟิลเลอร์ปลอมระบาดหนักมาก เพราะฉะนั้นจึงควรเลือกให้ดี

ควรเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาที่ไหนดี

การเลือกฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ที่ไหนดี หรือเลือกฉีดกับหมอไหนดี หลักเกณฑ์ง่าย ๆ ที่ควรใช้พิจารณามีดังนี้ค่ะ

  • เลือกคลินิกที่ได้มาตรฐาน : สิ่งที่สังเกตได้ชัดเจนที่สุดคือ เลขที่ใบอนุญาต 11 หลัก ต้องสามารถตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ privatehospital.hss.moph.go.th ว่าเป็นคลินิกที่ได้รับใบอนุญาติถูกต้อง
  • เลือกจากสภาพแวดล้อมของสถานพยาบาล : ต้องมีป้ายชื่อแสดงชัดเจน สภาพแวดล้อมสะอาด น่าเข้าใช้บริการ เครื่องมือและอุปกรณ์ทุกชิ้นต้องเก็บรักษาอย่างถูกต้องตามหลักสุขอนามัย
  • เลือกแพทย์ผู้ทำการรักษา : เลือกใช้บริการกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านการฉีดฟิลเลอร์ที่ตำแหน่งใต้ตาสูง ที่สำคัญต้องอย่าลืมตรวจสอบรายชื่อแพทย์ เช็คกับเว็บไซต์ของแพทยสภาเสมอว่าแพทย์ที่เราเลือกใช้บริการมีใบประกอบวิชาชีพถูกต้องหรือไม่
  • ศึกษารีวิวของคลินิกที่เราสนใจ : โดยเลือกศึกษาจากเคสรีวิวที่มีปัญหาใกล้เคียงกับเรา ดูว่าเขาทำออกมาแล้วผลลัพธ์น่าพึงพอใจไหม ศึกษาให้ครบทั้งแบบรูปภาพ วีดีโอ หรือไลฟ์สด และต้องอย่าลืมตรวจสอบว่ารีวิวที่เห็นมีความเป็นปัจจุบันหรือไม่

เลือกฉีดกับด็อกเตอร์เมฆคลินิกดีอย่างไร

  • ดูแลทุกเคสโดยคุณหมอเมฆ อาจารย์แพทย์ด้านฟิลเลอร์ผู้มีประสบการณ์ด้านความงามมากกว่า 10 ปี พร้อมด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมดูแลและให้คำปรึกษาแก่คนไข้อย่างตรงไปตรงมา
  • คุณหมอเมฆเป็นแพทย์ผิวหนังเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพโดยตรง ดังนั้นคุณหมอจะประเมินปัญหาและวิเคราะห์กายวิภาคใบหน้าของคนไข้ก่อนฉีดเสมอ ทำให้สามารถวางแผนการรักษาได้อย่างตรงจุด
  • ยืนยันคุณภาพได้จากรางวัลซิงเกิลคลินิกที่มียอดฉีดฟิลเลอร์สูงสุดรวมทุกแบรนด์ในประเทศไทย 4 สมัยซ้อน (ปี 2018 – 2021) และรางวัลด้านฟิลเลอร์ระดับประเทศอื่น ๆ อีกจำนวนมาก
  • เป็นคลินิกที่มีรีวิวจากคนไข้จริงมากที่สุด ครบทั้งแบบรูปภาพ วิดีโอ และไลฟ์สด คนไข้จึงสามารถศึกษารีวิวที่เชื่อถือได้และสามารถไว้วางใจในการเข้าใช้บริการ
  • คนไข้สามารถไว้วางใจเรื่องความปลอดภัยได้ เนื่องจากเครื่องมือและอุปกรณ์สามารถตรวจสอบได้ทุกรายการ รวมถึงผลิตภัณฑ์ฟิลเลอร์ ก่อนฉีดคุณหมอจะแกะกล่องใหม่ให้ดูต่อหน้า และคนไข้สามารถเก็บกล่องกลับไปใช้ตรวจสอบได้เองที่บ้านอีกด้วย
  • คุณหมอให้คำปรึกษาเองทุกเคส และมีบุคลากรคอยให้บริการอย่างมืออาชีพ
  • มีการติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ จึงมั่นใจได้ว่าคลินิกจะไม่ทิ้งคนไข้แน่นอน

ทำไมต้องฉีดกับอาจารย์แพทย์ด้านฟิลเลอร์โดยตรง

การฉีดบริเวณใต้ตาเป็นหัตถการที่ต้องใช้ทั้งศาสตร์ทั้งศิลป์ เปรียบเสมือนงานฝีมือที่เป็นลายลักษณ์เฉพาะของแพทย์แต่ละคน ดังนั้นในเรื่องของความชำนาญการและประสบการณ์ของแพทย์จึงสำคัญมาก ไม่ใช่ว่าจะเลือกฉีดกับใครก็ได้ด้วยเหตุผลเพียงเพราะราคาถูกกว่าหรือคลินิกอยู่ใกล้บ้านกว่า ศาสตร์ของฟิลเลอร์เริ่มตั้งแต่การประเมินรูปหน้า วิเคราะห์ปัญหา และวางแผนการรักษาให้ตรงกับความต้องการของคนไข้ให้มากที่สุด ยิ่งถ้าฉีดกับอาจารย์แพทย์ที่เป็นแพทย์ผิวหนังโดยตรงยิ่งได้เปรียบ เพราะคุณหมอจะแม่นยำเรื่องกายวิภาคของใบหน้ามาก รวมถึงเรื่องการเลือกชนิดของสารเติมเต็มให้กับสภาพผิวและปัญหาของคนไข้ แพทย์จำเป็นต้องมีความรูู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสารเติมเต็มแต่ละชนิด การฉีดฟิลเลอร์กับอาจารย์แพทย์โดยตรงจึงได้เปรียบในส่วนนี้ด้วยค่ะ ศิลป์ของการฉีดฟิลเลอร์เป็นด้านการออกแบบ แพทย์ต้องประเมินว่าจะฉีดจุดไหนบ้างเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาเป็นธรรมชาติ โดยยังคงอัตลักษณ์ของใบหน้าเดิมไว้ แต่ปรับแก้จุดบกพร่องของคนไข้ให้ดูดีขึ้น โดยให้ภาพรวมของใบหน้าสมูทไปทุกสัดส่วน นี่จึงเป็นเหตุผลที่การเลือกฉีดฟิลเลอร์กับอาจารย์แพทย์ด้านฟิลเลอร์โดยตรงถือเป็นความได้เปรียบ นอกจากจะมั่นใจว่าปลอดภัยอย่างแน่นอนแล้ว ความเชี่ยวชาญของแพทย์ก็จะช่วยขับให้ใบหน้าของเราดูดีได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ต้องกังวลเลยว่าฉีดแล้วหน้าจะแปลกไหม คนอื่นจะจับโป๊ะได้หรือเปล่า เพราะใบหน้าเรามีเพียงใบหน้าเดียว จึงต้องเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเองนะคะ

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาเท่าไหร่

เราต้องขออธิบายก่อนว่าการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ราคาจะแตกต่างออกไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับสภาพปัญหา โครงสร้างใบหน้า และยี่ห้อหรือรุ่นของฟิลเลอร์ที่เลือกใช้ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ไม่สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าฉีดราคากี่บาท แต่ทั้งนี้ คนไข้สามารถเข้าปรึกษาแพทย์เพื่อทำการประเมินราคาก่อนได้ค่ะ

ทำไมราคาฉีดของแต่ละคนถึงไม่เท่ากัน

คำถามนี้มักจะไม่มีคำตอบที่ตายตัว นั่นเพราะการเข้ารับบริการของแต่ละคน ราคามักขึ้นอยู่กับกรณีดังต่อไปนี้

  • ความหนักเบาของปัญหา เช่น เคสที่มีปัญหาใต้ตาหนักมาก ทำให้ต้องฉีดฟิลเลอร์ในปริมาณ cc ที่เยอะขึ้น ราคาจึงสูงกว่าเคสที่มีปัญหาเพียงเล็กน้อย นั่นเพราะราคาของฟิลเลอร์มักจะคิดเป็น cc (ฟิลเลอร์ 1 หลอดจะมีปริมาณเท่ากับ 1 cc)
  • บริเวณที่ฉีด ในบางเคสการฉีดแค่จุดใดจุดหนึ่งก็ไม่สามารถแก้ไขปัญหาได้ตามที่ต้องการ จึงจำเป็นต้องฉีดเพิ่มในจุดอื่นร่วมด้วยเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดูดีมากที่สุด นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้แต่ละเคสใช้ปริมาณฟิลเลอร์ในการแก้ปัญหาไม่เท่ากัน
  • ยี่ห้อของสารเติมเต็มที่เลือกใช้ ฟิลเลอร์มีหลายยี่ห้อ แต่ละยี่ห้อก็มีรุ่นแยกย่อยออกมาอีก ซึ่งแต่ละรุ่นล้วนถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้ในวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันออกไป จึงขึ้นอยู่กับว่าใครเหมาะสมจะใช้ฟิลเลอร์ยี่ห้อไหน ซึ่งราคาแต่ละยี่ห้อหรือแต่ละรุ่นก็จะแตกต่างกันด้วย

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับคุณหมอเมฆราคาเท่าไหร่

ทุกครั้งที่คนไข้มาขอคำปรึกษาการทำหัตถการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตากับคุณหมอเมฆที่ด็อกเตอร์เมฆคลินิก ทีมแพทย์ของเราจะให้คำปรึกษาก่อนทุกครั้ง ซึ่งในส่วนนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายนะคะ คนไข้สามารถปรึกษากับคุณหมอได้ฟรี ทั้งยังสามารถเก็บไปตัดสินใจได้ในภายหลัง ไม่จำเป็นว่าปรึกษาเสร็จแล้วต้องทำเลย ส่วนราคาฉีดก็จะขึ้นอยู่กับยี่ห้อฟิลเลอร์และปริมาณ cc ที่เลือกใช้ ซึ่งจะแตกต่างออกไปตามปัจจัยส่วนบุคคล ดังนั้น ใครที่สนใจอยากฉีดกับคุณหมอเมฆ ก็สามารถถ่ายรูปใบหน้ามาให้คุณหมอช่วยประเมินเบื้องต้น หรือจะเข้ามาปรึกษาคุณหมอโดยตรง เพื่อให้คุณหมอช่วยประเมินก่อนเข้ารับบริการว่าราคาเท่าไหร่ก็ได้ค่ะ

เปรียบเทียบก่อนและหลังฉีด Filler ใต้ตา

รีวิวการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจากคนไข้จริง

รีวิวผลลัพธ์ของการฉีดที่สามารถเห็นได้เลยว่าหลังทำใต้ตาดูดีขึ้นอย่างชัดเจน นี่จึงเป็นเหตุผลที่เสียงตอบรับการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา รีวิวจากคนไข้ส่วนมากล้วนเป็นไปในทิศทางเดียวกันว่าใต้ตาดูดีขึ้น รอยคล้ำใต้ตาจางลง ร่องลึกและริ้วรอยต่าง ๆ ก็ดูตื้นขึ้น ช่วยให้ใบหน้าสดใส ดูเด็กลงอย่างเห็นได้ชัด จากตัวอย่างเคสรีวิว filler ใต้ตาทั้งหมดนี้ ต้องขอขอบคุณทุกท่านที่ไว้วางใจให้ด็อกเตอร์เมฆคลินิกดูแลมากเลยค่ะ ดูรีวิวจากคนไข้จริงที่นี่

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะเป็นอันตรายไหม

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา อันตรายไหม ล้วนขึ้นอยู่กับการเลือกของเราเลยค่ะ หากมั่นใจว่าเลือกใช้บริการกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน รักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และใช้ฟิลเลอร์ของแท้ ยังไงก็ปลอดภัยแน่นอน

เหตุผลที่การฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตาเป็นวิธีที่ปลอดภัยมาก เนื่องจากสารไฮยาลูรอนิค แอซิดที่ฉีดเข้าสู่ผิว เป็นสารที่สามารถสลายได้เองตามธรรมชาติอย่างหมดจด จึงไม่ทิ้งสารตกค้างให้เป็นปัญหาในภายหลัง ทั้งยังสามารถฉีดเติมได้เรื่อย ๆ โดยไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายอีกด้วยค่ะ

ในทางกลับกัน ถ้าเราฉีดกับหมอเถื่อนและเลือกใช้ฟิลเลอร์ปลอม ยังไงผลข้างเคียงที่ได้จากการฉีดฟิลเลอร์ที่บริเวณใต้ตาจะเป็นอันตรายอย่างแน่นอน เพราะนอกจากจะเสี่ยงต่อการฉีดผิดจุดจนก่อให้เกิดผลกระทบอันตรายอื่น ๆ แล้ว ฟิลเลอร์ปลอมยังไม่สามารถสลายได้หมด 100% หากต้องการแก้ไขหรือนำออก จำเป็นต้องใช้วิธีขูดฟิลเลอร์หรือผ่าตัดออกเท่านั้น

ใครบ้างที่ไม่ควรฉีด

  • ผู้ที่มีภาวะผิวหนังอักเสบบริเวณที่จะฉีด
  • ผู้ที่แพทย์เคยวินิจฉัยว่าแพ้ส่วนประกอบของฟิลเลอร์ (ไม่นับรวมอาการข้างเคียงที่เป็นอาการปกติหลังฉีด)
  • ผู้ที่มีประวัติแพ้ยาชา เพราะสารเติมเต็มบางรุ่นมีการผสมยาชา จึงควรแจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้ง
  • ผู้ที่มีภาวะเลือดไหลไม่หยุด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อพิจารณาเป็นรายเคส
  • ผู้ที่อยู่ในช่วงตั้งครรภ์หรือให้นมบุตรควรแจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้ง

การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาใช้กี่ cc ถึงจะเห็นผล

ฟิลเลอร์ใต้ตา ใช้กี่ cc เป็นอีกหนึ่งคำถามที่หลายคนมักเกิดข้อสงสัยเมื่อคิดจะฉีด ซึ่งปริมาณที่จะต้องฉีดกี่ cc ล้วนขึ้นอยู่กับปัจจัยดังต่อไปนี้

  • สภาพปัญหาของแต่ละคน : โดยทั่วไปแล้ว ในเคสที่มีปัญหาใต้ตาไม่หนักมาก ฉีดเพียง 1-2 cc ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้แล้ว แต่ถ้าคนไข้ที่เป็นผู้สูงอายุ มีปัญหากระดูกใต้ตากร่อนตัวเยอะ หรือมีปัญหาเบ้าตาลึกมาก ๆ ก็อาจใช้ปริมาณประมาณ 3-4 cc
  • ชนิดของสารเติมเต็มที่เลือกใช้ : เนื้อฟิลเลอร์แต่ละรุ่นมีลักษณะไม่เหมือนกัน บางรุ่นฟูมาก บางรุ่นฟูน้อย จึงมีผลต่อปริมาณที่ใช้ด้วยค่ะ (แต่รุ่นที่ฟูมากหรือมีค่าความอุ้มน้ำมาก จะเหมาะสำหรับใช้ฉีดร่องแก้ม ขมับ หรือบริเวณที่สังเกตความเปลี่ยนแปลงได้ไม่ชัดมาก เพราะถ้านำมาฉีดใต้ตาอาจมีผลให้ตาดูบวมได้)
  • เทคนิคการฉีดของแพทย์ : บางเคสอาจแก้ปัญหาด้วยการฉีดบริเวณใต้ตาอย่างเดียวไม่เพียงพอ จำเป็นต้องฉีดจุดอื่นร่วมด้วยเพื่อให้ผลลัพธ์ออกมาดูดีขึ้น ในเคสที่ต้องฉีดหลายจุดจึงจำเป็นต้องใช้ปริมาณ cc เยอะกว่าเคสที่ฉีดใต้ตาอย่างเดียวนั่นเองค่ะ

การเตรียมตัวก่อนฉีด Filler ใต้ตา

  • ควรงดยาและวิตามินบางชนิดประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนฉีด เช่น แอสไพริน, NSAIDs, วิตามินต่าง ๆ เป็นต้น
  • งดทายาผลัดเซลล์ผิวบริเวณที่จะฉีด 1 สัปดาห์
  • ไม่ควรนวดหน้าหรือเลเซอร์บริเวณใบหน้าอย่างน้อย 3 วันก่อนฉีด
  • หากมีโรคประจำตัวหรือประวัติการทานยา แพ้ยา ควรแจ้งแพทย์ก่อนทุกครั้ง
  • ควรงดแอลกอฮอล์และกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดอย่างน้อย 24 ชั่วโมงก่อนทำ

ขั้นตอนการฉีด Filler ใต้ตา

  • เข้ารับคำปรึกษาจากคุณหมอเพื่อประเมินปัญหา ประเมินแนวทางการรักษา และเลือกชนิดฟิลเลอร์
  • สามารถแต่งหน้ามาได้ แต่จะมีเจ้าหน้าที่ช่วยทำความสะอาดใต้ตาในจุดที่จะฉีด
  • แปะยาชา
  • เมื่อแปะยาชาครบตามเวลาที่กำหนด คุณหมอจึงจะเริ่มฉีดฟิลเลอร์ ซึ่งระหว่างฉีดคนไข้จะอยู่ในท่านั่งหรือนอนเอียงในระดับที่หัวอยู่สูงกว่าหัวใจ เพื่อไม่ให้เลือดออกมากขึ้น
  • หลังฉีดสามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ทันทีว่าใต้ตาดูดีขึ้น

ข้อควรระวังและข้อปฏิบัติหลังฉีด

  • หลังฉีด fillerใต้ตา ไม่ควรแตะ แกะ เกา หรือนวดบริเวณที่ฉีด
  • ห้ามขยับหรือปรับรูปทรงฟิลเลอร์ด้วยตัวเอง
  • ในช่วงแรกให้ล้างหน้าด้วยสบู่อ่อน ๆ และโดนน้ำได้ไม่เกิน 15 นาที ที่สำคัญคือไม่ควรถูบริเวณที่ฉีดแรง ๆ
  • งดทาครีมบริเวณรอยเข็ม 1 คืน
  • ควรหลีกเลี่ยงความร้อนทุกชนิด รวมถึงกิจกรรมที่ทำให้เลือดสูบฉีดอย่างน้อย 48 ชั่วโมง
  • ควรนอนให้หัวสูงกว่าหน้าอก และไม่ควรนอนตะแคงในช่วง 2-3 คืนแรก เพื่อป้องกันการกดทับหน้า
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และควรรับประทานยาให้ครบตามที่แพทย์สั่ง
  • ควรดื่มน้ำให้มาก ๆ เนื่องจากฟิลเลอร์เป็นสารอุ้มน้ำ ดังนั้นการดื่มน้ำจึงเป็นตัวช่วยให้ฟิลเลอร์ขึ้นรูปได้สวยและอยู่ได้นานมากขึ้น
  • ไม่ควรขยับใบหน้าเยอะในช่วง 3 วันแรก เพราะอาจทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนผิดตำแหน่งได้
  • การฉีดฟิลเลอร์บริเวณใต้ตามีข้อห้าม ได้แก่ งดนวดหน้า ซาวหน้า ออกกำลังกายหนัก ๆ รวมถึงงดรับประทานอาหารที่ต้องนั่งหน้าเตาร้อน ๆ อย่างหมูกระทะ ชาบู เป็นเวลา 3-14 วันหลังทำ เนื่องจากจะมีผลต่อการเซ็ตตัวของฟิลเลอร์ (แนะนำให้เว้น 14 วัน แต่ถ้าใครมีเหตุจำเป็น แนะนำให้งดอย่างน้อย 3 วัน)
  • งดเลเซอร์ร้อนลงที่ผิวชั้นลึกอย่างน้อย 1 เดือนหลังทำ เช่น การทำเทอร์มาจ เป็นต้น
  • ข้อปฏิบัติหลังฉีด filler ใต้ตาในช่วง 14 วันหลังทำ ควรงดทานอาหารที่ส่งผลต่ออาการบวมหรืออาการอักเสบ เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด อาหารหมักดอง อาหารรสจัด และควรงดสูบบุหรี่ไปก่อน อาการบวมจะได้ยุบลงได้เร็วขึ้น

อ่านต่อที่นี่

อาการหลังฉีด

  • อาจมีอาการบวมแดงในจุดที่ฉีด ซึ่งจะหายได้เองภายใน 2-3 วัน แต่ถ้าหลังจาก 3 วันไปแล้วยังมีอาการบวมแดงมากขึ้น ให้รีบติดต่อคลินิกเพื่อขอพบแพทย์ค่ะ
  • อาจมีรอยเข็มเล็ก ๆ ตรงจุดที่ฉีด สามารถหายได้เองภายใน 3-7 วัน (เป็นรอยเข็มที่เล็กมาก ๆ จึงไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครสังเกตเห็นเลยค่ะ)
  • หลังฉีดสามารถออกไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาอยู่ได้นานไหม

สำหรับผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาสามารถอยู่ได้นาน 6-18 เดือน ขึ้นอยู่กับยี่ห้อหรือรุ่นของสารเติมเต็มที่เลือกใช้ เทคนิคการฉีดของแพทย์ และการดูแลตัวเองหลังทำ หากปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ทำให้ฟิลเลอร์สลายได้เร็ว ก็สามารถช่วยรักษาผลลัพธ์ให้คงอยู่ได้นานขึ้นค่ะ

ปัจจัยที่ทำให้เกิดการสลายตัวมีอะไรบ้าง

การสลายตัวของสารฟิลเลอร์บริเวณใต้ตา จะช้าหรือเร็วล้วนขึ้นอยู่กับปัจจัยเหล่านี้ค่ะ

  • การดูแลตัวเองหลังฉีด : ใครที่อยากให้ประสิทธิภาพของฟิลเลอร์คงอยู่ได้นาน ๆ ก็สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด รวมถึงหมั่นดูแลตัวเอง เช่น คนที่ดื่มน้ำเยอะ ๆ ก็จะรักษาประสิทธิภาพให้คงอยู่ได้นานกว่าคนที่ไม่ค่อยดื่มน้ำ เพราะฟิลเลอร์เป็นสารที่อุ้มน้ำได้ดี เป็นต้น
  • ชนิดของสารเติมเต็มที่เลือกใช้ : ฟิลเลอร์แต่ละยี่ห้อ/แต่ละรุ่นย่อมมีคุณสมบัติทางเคมีแตกต่างกัน อันมีผลทำให้การสลายตัวช้าเร็วไม่เท่ากัน โดยส่วนมากฟิลเลอร์ที่มีค่าความแข็ง (Elasticity) หรือความคงตัวสูงจะอยู่ได้นานกว่าฟิลเลอร์ที่มีค่าความคงตัวต่ำ ซึ่งฟิลเลอร์ชนิดนี้ถูกผลิตขึ้นเพื่อใช้ฉีดเสริมในชั้นเยื้อหุ้มกระดูก ไม่สามารถฉีดเพื่อลดเลือนริ้วรอยในผิวชั้นตื้นได้เพราะจะทำให้เป็นก้อน ดังนั้น คนที่ฉีดฟิลเลอร์เสริมชั้นกระดูกเพื่อแก้ไขปัญหาเบ้าตาลึก ผลลัพธ์จะอยู่ได้นานกว่าคนที่ฉีดฟิลเลอร์เพื่อแก้ไขปัญหาตีนกา เป็นต้น

หลังฉีดผลลัพธ์ที่ได้จะเป็นแบบไหน

ฉีดแล้วสามารถแก้ไขปัญหาขอบตาดำ ใต้ตาคล้ำ ตาแพนด้า เบ้าตาลึก ตาโหล ไปจนถึงปัญหาถุงใต้ตา ริ้วรอยรอบดวงตา และร่องลึกต่าง ๆ ได้อย่างเห็นผลชัดเจน

หลังทำการฉีดฟิลเลอร์ที่บริเวณใต้ตา สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ทันทีเลยว่า ปัญหาที่เราเป็นกังวลดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หากใครที่ฉีดเพราะอยากแก้ไขปัญหาขอบตาดำ ตาคล้ำ ก็จะรู้สึกได้ว่าใต้ตาดูกระจ่างใสขึ้น ใครที่ฉีดเพราะอยากแก้ไขปัญหาถุงใต้ตาก็จะสังเกตได้ว่า หลังฉีดใต้ตาดูเต็ม ดูเรียบเนียน ถุงใต้ตาดูเล็กลง นอกจากนี้ ฟิลเลอร์ยังช่วยให้ริ้วรอยร่องลึกต่าง ๆ ดูตื้นขึ้น กู้คืนผิวใต้ตาที่เคยเรียบเนียนเต่งตึงให้กลับคืนมา รวมถึงสามารถเติมเต็มเบ้าตาลึกโหลให้ดูอิ่มฟูขึ้น ช่วยให้ใบหน้าสดใส ดูอ่อนเยาว์ลงอีกครั้งค่ะ และที่สำคัญผลลัพธ์จะมีความเป็นธรรมชาติสูงมาก ไม่โป๊ะแน่นอน

หากฉีดแล้วเป็นก้อน เกิดจากอะไรได้บ้าง

หากทำการฉีดแล้วเกิดเป็นก้อน สามารถเกิดได้จากสาเหตุเหล่านี้

  • เทคนิคการฉีดของแพทย์ไม่ถูกต้อง แพทย์ขาดประสบการณ์ในการฉีดฟิลเลอร์ตำแหน่งบริเวณใต้ตา
  • เลือกชนิดฟิลเลอร์ไม่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ฉีด เช่น หากเป็นฟิลเลอร์ที่มีความคงตัวสูง หรือมีโมเลกุลความหนาแน่นสูง ไม่ควรฉีดเพื่อลดริ้วรอยในผิวชั้นตื้น เพราะจะทำให้เป็นก้อน
  • ใช้ปริมาณในการฉีดไม่ถูกต้อง ต้องห้ามฉีดมากเกินไปจนเกินจำเป็น
  • ใช้ฟิลเลอร์ปลอมหรือฟิลเลอร์ที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะฟิลเลอร์ประเภทนี้จะไม่สามารถสลายได้ ช่วงแรกที่ฉีดอาจจะให้ผลลัพธ์สวยงาม แต่เมื่อเวลาผ่านไป เนื้อฟิลเลอร์จะเกิดการเกาะตัวเป็นกลุ่มและไหลย้อยไม่เป็นทรง จนทำให้เห็นว่าฟิลเลอร์ใต้ตา เป็นก้อน และอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้
  • อาการบวมหลังฉีด โดยปกติหลังฉีดฟิลเลอร์จะมีอาการบวมเล็กน้อย 2-7 วันอยู่แล้วค่ะ อาการนี้สามารถหายได้เอง จึงไม่ต้องเป็นกังวลเลย หลังจาก 7 วัน ก้อนใต้ตาก็จะค่อย ๆ หายไปค่ะ (แต่ถ้าหลัง 7-14 วัน แล้วยังไม่มีวี่แววว่าจะยุบ นั่นจึงเรียกว่าเป็นอาการฉีดฟิลเลอร์แล้วเป็นก้อนค่ะ)

หากเกิดอาการบวมอย่างรุนแรง เกิดจากสาเหตุอะไร

ต้องบอกก่อนว่า การฉีดฟิลเลอร์ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งใดก็ตาม ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้เป็นปกติคือ อาการบวม แดง หรือมีรอยช้ำเล็กน้อยในบริเวณที่ฉีดค่ะ ซึ่งมันจะสามารถหายได้ไงเพียง 2-3 วัน แต่สำหรับอาการบวมที่ค่อนข้างรุนแรงและควรพบแพทย์ก็คือ หลังจากฉีดไปแล้ว 1-2 สัปดาห์ ยังไม่หายบวมหรือจับไปแล้วรู้สึกเจ็บกว่าเดิม มีรอยช้ำ และเกิดการอักเสบร่วมด้วย เกิดได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็น

  • แพทย์เลือกใช้ชนิดของสารเติมเต็มไม่เหมาะสมกับตำแหน่งที่ฉีด
    ฟิลเลอร์ทุกยี่ห้อ ต่างก็มีคุณสมบัติและความหนืดที่แตกต่างกัน มันจึงมีการระบุรุ่นแต่ละรุ่นออกมา ดังนั้นรุ่นที่เหมาะสำหรับนำมาฉีดที่บริเวณใต้ตา ควรเป็นเนื้อเจลที่มีความละเอียด ไม่ฟูจนเกินไป หากแพทย์เลือกรุ่นที่ไม่เหมาะกับใต้ตา อาจก่อให้เกิดอาการบวม หรือเกิดเป็นก้อนได้ในอนาคตค่ะ
  • แพทย์ฉีดผิดวิธี
    ใต้ชั้นผิวจะมีหลายระดับ ไม่ว่าจะเป็นชั้นผิวหนังแท้ที่อยู่ลึกสุด ชั้นไขมัน และชั้นผิวหนัง ซึ่งแต่ละตำแหน่งก็จะมีระดับความลึกในการแก้ไขปัญหาที่ไม่เหมือนกันค่ะ ซึ่งแพทย์จะต้องวินิจฉัยก่อนออกแบบการรักษา เพราะปัญหาผิวของคนไข้ที่เข้ามานั้น ไม่เหมือนกัน หากฉีดผิดชั้นผิว ผลลัพธ์ที่ได้คือ อาการบวม มีรอยช้ำ หรือหนักถึงขั้นอักเสบ และตาบอดได้เลยค่ะ
  • ใช้ฟิลเลอร์ไม่ได้มาตรฐาน
    เป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นได้บ่อยมากเลยล่ะค่ะ เพราะบางคลินิกเราก็แทบแยกกันไม่ออกเลยใช่ไหมล่ะคะว่า คลินิกไหนใช้ของแท้ หรือคลินิกไหนใช้ของปลอม ซึ่งหากเป็นของปลอมผลลัพธ์ที่ได้จะดูเป็นก้อนบวมแดง กดไปแล้วเจ็บมาก และอาจมีการติดเชื้อหรือเป็นหนองร่วมด้วย

เมื่อทราบถึงลักษณะ อาการ และสาเหตุที่เกิดขึ้นแล้ว อยากให้ทุกท่านลองเช็กตัวเองก่อนว่าผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นนั้น เป็นอาการปกติที่เกิดขึ้นได้ หรือเป็นอาการบวมรุนแรง หากเป็นอย่างที่สอง แนะนำให้รีบกลับมาให้แพทย์ช่วยวินิจฉัยและหาทางแก้ไขให้เร็วที่สุดค่ะ

หากฉีดแล้วเป็นก้อนบวมสามารถแก้ไขได้อย่างไรบ้าง

ใครที่กำลังประสบปัญหาฉีดแล้วเกิดการบวม เป็นก้อน ทางแก้หลัก ๆ มีอยู่ 3 วิธีด้วยกันค่ะ ได้แก่

  • การฉีดสลายฟิลเลอร์ ใช้ได้กับผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์แท้เท่านั้น ซึ่งวิธีนี้สามารถสลายได้อย่างหมดจดโดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
  • การขูดฟิลเลอร์ ใช้สำหรับผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์กึ่งถาวร ไม่สามารถสลายได้เอง แต่จะสามารถขูดออกได้เพียง 60-70% เท่านั้น
  • การศัลยกรรมผ่าตัดฟิลเลอร์ สำหรับผู้ที่ฉีดฟิลเลอร์ปลอมจนเป็นก้อนขนาดใหญ่อยู่ใต้ผิว หรือฉีดไว้นานจนเริ่มมีพังผืด มักเป็นสารจำพวกซิลิโคนเหลว แต่วิธีนี้จะไม่สามารถนำออกได้หมด 100% และเป็นวิธีที่มีความเสี่ยงสูงค่ะ

ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดจึงควรพิจารณาให้ดีก่อนตัดสินใจฉีด ซึ่งวิธีป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาฉีดแล้วเป็นก้อนสามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการเลือกใช้บริการกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน เลือกใช้ HA-Filler ของแท้ และเลือกรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์เท่านั้นค่ะ

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาต่างจากการทำหัตถการอื่นอย่างไร

ฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ถือเป็นเพียงหนึ่งในหัตถการที่สามารถช่วยฟื้นฟูปัญหาบริเวณรอบใต้ตานี้ได้ ซึ่งนอกจากนี้ยังมีหัตถการอื่น ๆ ที่สามารถทำได้เช่นกัน โดยมีความแตกต่างกันดังต่อไปนี้

ความแตกต่างจากการทำโบท็อกตา

หลายคนอาจจะยังแยกไม่ออกว่าระหว่างฟิลเลอร์และโบท็อกแตกต่างกันอย่างไร ซึ่งหากจะอธิบายให้เข้าใจได้ง่าย ๆ สามารถแยกได้ดังนี้ค่ะ

  • การฉีดฟิลเลอร์: เป็นการฉีดเพื่อเติมให้เต็มขึ้น ทำให้ผิวอิ่มฟู ริ้วรอยร่องลึกดูตื้นขึ้น
  • การทำโบท็อก: เป็นการฉีดเพื่อลดเลือนริ้วรอย ลดขนาดของกล้ามเนื้อ

ซึ่งตัวยาที่ใช้ฉีดระหว่างทั้ง 2 อย่างนี้ ก็ไม่เหมือนกันนะคะ ฟิลเลอร์จะเป็นสารประกอบคอลลาเจนที่ฉีดเพื่อช่วยเติมเต็มและฟื้นบำรุงผิว ทำให้ผิวกระชับ เรียบเนียนขึ้น ส่วนโบท็อกเป็นสารที่ออกฤทธิ์ต่อปลายประสาทที่เชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อ มีคุณสมบัติทำให้กล้ามเนื้อบริเวณที่ฉีดเกิดการคลายตัว ผิวบริเวณนั้นจึงเรียบเนียนและเต่งตึงขึ้น

ดังนั้น การฉีด filler ใต้ตาจึงใช้เพื่อแก้ไขปัญหาร่องลึกใต้ตา เบ้าตาลึก ขอบตาดำ ช่วยให้ผิวใต้ตาเรียบเนียน ชุ่มชื้น กระจ่างใสขึ้น และสามารถช่วยเติมเต็มริ้วรอยให้ผิวเรียบเนียนขึ้น แต่ถ้าใครที่มีปัญหาหนักไปทางริ้วรอย ทั้งรอยตีนกา รอยเหี่ยวย่น ก็สามารถฉีดโบท็อกใต้ตาร่วมด้วยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นได้ค่ะ

ความแตกต่างจากการฉีดไขมันใต้ตา

ปัญหาใต้ตาสามารถเกิดได้ทั้งจากการยุบตัวของกระดูกเบ้าตา และปัญหาเนื้อยุบตัวจากอายุที่มากขึ้น ซึ่งหากเป็นปัญหาจากกระดูก การฉีดไขมันใต้ตาจะไม่สามารถช่วยแก้ไขได้ค่ะ แต่ในกรณีที่เป็นปัญหามาจากเนื้อยุบตัว ไขมันในชั้นผิวฝ่อลง กรณีนี้จะสามารถรักษาได้ทั้งวิธีฉีดฟิลเลอร์และวิธีฉีดไขมัน ซึ่งทั้งสองวิธีมีข้อแตกต่างดังนี้ค่ะ

การทำฟิลเลอร์ใต้ตา

  • ตัวยาที่ฉีดเข้าไป คือ สารไฮยาลูรอนิค แอซิด
  • มีโอกาสแพ้น้อยมาก เนื่องจากสารเติมเต็มที่ใช้เป็นสารที่สร้างเลียนแบบสารประกอบคอลลาเจนตามธรรมชาติของร่างกาย
  • เห็นความเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังทำครั้งแรก
  • เป็นวิธีที่สะดวก ใช้เวลาฉีดไม่นาน ไม่ต้องพักฟื้น ไม่ทิ้งบาดแผลหลังทำ
  • หลังฉีดจะยุบบวมและเห็นผลเต็มที่ภายใน 2-3 สัปดาห์
  • ผลลัพธ์ไม่ถาวร แต่สามารถฉีดเติมได้เรื่อย ๆ โดยไม่เป็นอันตราย

การฉีดไขมันใต้ตา

  • เป็นการดูดเอาไขมันจากส่วนอื่นของร่างกาย (เช่น ต้นขา หน้าท้อง) มาผ่านกระบวนการปั่นแยกเป็นของเหลวก่อนจะนำมาฉีดเข้าสู่ผิวบริเวณที่ต้องการ
  • เนื่องจากเป็นไขมันของตัวเอง จึงลดโอกาสที่จะเกิดอาการแพ้
  • มีแผลในตำแหน่งที่ดูดไขมัน
  • ผลลัพธ์อยู่ได้นาน แต่ไม่สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำ จำเป็นต้องฉีดซ้ำหลายครั้งเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ เนื่องจากไขมันเป็นสิ่งที่ร่างกายสามารถดูดซึมนำไปใช้ได้
  • เวลาฉีดอาจเกิดปัญหาผิวไม่เรียบเนียน

โดยสรุปแล้ว ฉีด filler ใต้ตามีความเสี่ยงน้อยกว่าการฉีดไขมันค่ะ และถ้าหากไขมันที่ดูดออกมาไม่มีคุณภาพ เซลล์ไขมันก็มีโอกาสตายและลดจำนวนลง จึงต้องฉีดซ้ำเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น อีกทั้งสสารของไขมันมีขนาดใหญ่กว่า จึงจำเป็นต้องใช้เข็มใหญ่กว่าการฉีดฟิลเลอร์ ดังนั้น การฉีดฟิลเลอร์จึงเป็นตัวเลือกที่คุณหมอแนะนำและได้รับความนิยมมากกว่าค่ะ

ความแตกต่างจากการฉีดไหมน้ำใต้ตา

ไหมน้ำเป็นวัสดุประเภท polydioxanone เหมือนกับไหมเส้นที่ใช้ร้อย เพียงแต่นำมาตัดเป็นผงเล็ก ๆ และนำมาละลายในน้ำ หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็นไหมสำหรับฉีด มีคุณสมบัติช่วยเติมเต็มริ้วรอยร่องลึกต่าง ๆ ได้คล้ายกับฟิลเลอร์ ช่วยให้ผิวกระชับ ฟื้นฟูใต้ตาที่เหนื่อยโทรมให้ดูสดชื่นขึ้น เรียกได้ว่าผลลัพธ์หลังฉีดแทบไม่ต่างจากฟิลเลอร์เลย แต่ถ้าให้เปรียบเทียบระหว่าง 2 สิ่งนี้ เราจะแนะนำเป็นกันฉีดฟิลเลอร์มากกว่า เพราะไหมน้ำยังไม่ผ่าน อย. จึงไม่สามารถรับรองเรื่องผลข้างเคียงอื่น ๆ ได้ค่ะ

ความแตกต่างจากการฉีดวิตามินใต้ตา

การฉีดวิตามินใต้ตาที่ได้รับความนิยมจะมีอยู่ 2 ชนิดด้วยกัน ได้แก่

Filoga (ฟิลอก้า)

หรือที่เรารู้จักกันในชื่อการทำเมโสหน้าใส เป็นการฉีดวิตามินที่มีประโยชน์ต่อผิวเข้าสู่บริเวณที่มีปัญหา ตัวยามีคุณสมบัติช่วยกักเก็บความชุ่มชื้นและฟื้นฟูสภาพผิวอย่างเข้มข้น นิยมฉีดเพื่อแก้ไขปัญหาใต้ตาคล้ำและฉีดเพื่อฟื้นฟูผิวที่แห้งให้กลับมาชุ่มชื้น

เพื่อให้เห็นผลลัพธ์อย่างชัดเจน ฟิลอก้าควรฉีดอย่างต่อเนื่องประมาณ 3 ครั้งขึ้นไป โดยเว้นระยะห่างประมาณ 1-2 สัปดาห์ แต่ในกรณีที่มีปัญหาผิวเสื่อมโทรมมาก ๆ อาจต้องฉีดต่อเนื่องถึง 10 ครั้งจึงจะเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน และหลังจากนั้นผลลัพธ์จะคงอยู่ได้นาน 3-4 สัปดาห์ค่ะ

Cytocare (ไซโตแคร์)

การฉีดสารบำรุงที่มีประโยชน์ต่อผิวชนิดเข้มข้นเข้าสู่บริเวณที่มีปัญหา นับเป็นสารทรีตเมนท์ที่ช่วยฟื้นบำรุงผิว รักษาความสมดุล และช่วยป้องกันการเกิดริ้วรอยต่าง ๆ นิยมฉีดเพื่อรักษาปัญหาใต้ตาคล้ำและบูสต์ผิวให้ดูกระจ่างใส ซึ่งการฉีดไซโตแคร์ให้เห็นผลดี ควรฉีดประมาณ 4 ครั้งภายในระยะเวลา 2-3 เดือน และหลังจากนั้นผลลัพธ์จากการฉีดจะคงอยู่ได้ไม่เกิน 3 เดือนค่ะ

ดังนั้น ในกรณีที่มีปัญหาใต้ตาคล้ำ มีริ้วรอยใต้ตาไม่หนักมาก ไม่มีปัญหาร่องลึกใต้ตา ก็สามารถฉีดวิตามินใต้ตาเพื่อฟื้นบำรุงผิวได้ แต่ถ้าใครมีปัญหาร่องลึก ตาโหลร่วมด้วย ในส่วนนี้วิตามินใต้ตาจะไม่สามารถช่วยได้ค่ะ จึงสรุปได้ว่าการฉีด filler ใต้ตากับวิตามินใต้ตาสามารถฟื้นบำรุงผิวใต้ตาที่เสื่อมโทรมให้กลับมาดูสุขภาพดีได้เหมือนกัน แต่ฟิลเลอร์จะแก้ปัญหาได้ครอบคลุมกว่า สามารถเห็นผลได้ตั้งแต่การฉีดครั้งแรก และผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นานกว่าการฉีดวิตามินใต้ตาค่ะ

ความแตกต่างจากการศัลยกรรมจัดเรียงไขมันใต้ตา

การศัลยกรรมจัดเรียงไขมันใต้ตา นิยมใช้เพื่อแก้ไขปัญหาถุงใต้ตาปูดนูนในระยะยาว ทำได้โดยการผ่าตัดนำไขมันใต้ตาที่ยื่นนูนออก และเคลื่อนย้ายตำแหน่งไขมันให้เรียบเนียนสม่ำเสมอ ผลลัพธ์หลังทำจะช่วยให้ถุงใต้ตาเรียบเนียนขึ้น รอยคล้ำใต้ตาจางลง

อันที่จริงการศัลยกรรมจัดเรียงไขมันใต้ตาและการฉีดฟิลเลอร์ที่บริเวณใต้ตาไม่มีวิธีไหนดีไปกว่ากัน ใครจะเหมาะกับวิธีไหนมากกว่าล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของคนไข้เป็นหลัก เพราะถ้าหากเทียบกันแล้ว การศัลยกรรมจัดเรียงไขมันใต้ตาจะแตกต่างจากการฉีดสารเติมเต็มฟิลเลอร์บริเวณใต้ตาดังนี้ค่ะ

  • ผลลัพธ์อยู่ได้นานกว่า แต่สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้อีกเมื่ออายุมากขึ้น
  • การศัลยกรรมต้องใช้เวลาพักฟื้นประมาณ 7 วัน
  • มีรอยแผลหลังทำ
  • จำเป็นต้องดูแลบาดแผลหลังผ่าตัดอย่างเคร่งครัด

ดังนั้น หากใครต้องการวิธีที่สะดวก ไม่ต้องการพักฟื้น และกลัวเจ็บจากการผ่าตัด การฉีด filler ใต้ตาเพื่อแก้ไขปัญหาถุงใต้ตาก็จะตอบโจทย์กว่าค่ะ เพราะสามารถช่วยให้ผิวใต้ตาเรียบเนียนได้เหมือนกัน แต่ถ้าใครที่มีปัญหาถุงใต้ตาหย่อนยานหนักมาก และไม่มีปัญหาเรื่องความยุ่งยากในขั้นตอนการรักษา ก็สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อศัลยกรรมจัดเรียงไขมันใต้ตาได้ค่ะ

คำถามที่พบบ่อย

นอกจากข้อควรรู้ทั้งหมดด้านบนนี้แล้ว เรายังได้รวบรวมข้อคำถามที่ถามกันเข้ามามาก สำหรับผู้ที่สนใจบริการฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา หมอเมฆ ที่ด็อกเตอร์เมฆคลินิกของเรา เผื่อใครที่กำลังคิดอยากฉีดหรือไปฉีดมาแล้วเกิดมีข้อสงสัย บอกเลยว่าเรารวบรวมมาไว้ให้แบบครบจบในที่เดียวค่ะ

ไม่ว่าจะเป็นชาบู หมูกระทะ ปิ้งย่าง หรืออะไรก็ตามที่ต้องนั่งอยู่หน้าเตาร้อน ๆ แนะนำให้หลีกเลี่ยงไปก่อนในช่วง 14 วันแรกค่ะ เนื่องจากความร้อนจะมีผลให้ผิวยืดหดตัวมากกว่าปกติ ทำให้การเซ็ตตัวของฟิลเลอร์ได้ประสิทธิภาพไม่ดีเท่าที่ควร

ในช่วง 14 วันแรก แนะนำว่าให้งดไปก่อนค่ะ เพราะปลาร้าเป็นเมนูที่เสี่ยงต่อการปนเปื้อนของเชื้อโรค อันเป็นผลมาจากกรรมวิธีการทำที่ไม่สะอาด ซึ่งเชื้อโรคในปลาร้าอาจเข้าไปกระตุ้นให้รอยเข็มเกิดการอักเสบได้ค่ะ

หลายคนอาจกังวลว่าเนื้อไก่จะทำให้รอยเข็มหายช้า หรืออาจทำให้ใบหน้ายุบบวมช้าลง ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเนื้อไก่ไม่ได้มีผลต่ออาการยุบบวมหรือรอยแผลแต่อย่างใดค่ะ ในทางกลับกัน เนื้อไก่มีโปรตีนสูง  กินแล้วเป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วยค่ะ

คนไทยมักมีความเชื่อว่าไข่ไก่คือของแสลง กลัวว่ากินแล้วแผลจะหายช้าหรือหน้าหายบวมช้า แต่หากอิงตามหลักโภชนาการแล้ว ไข่ไก่ถือเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ช่วยบำรุงร่างกาย และไม่มีผลต่อการฉีดฟิลเลอร์แต่อย่างใดค่ะ

อาหารหมักดอง อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ เป็นอาหารที่มีสารปนเปื้อนได้ง่าย ทั้งยังเสี่ยงให้พยาธิปนเปื้อนเข้าไปในร่างกาย ทำให้เกิดการอักเสบหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาได้ค่ะ จึงควรเว้นประมาณ 2 สัปดาห์หลังฉีด

ในช่วง 2-3 คืนแรกควรงดนอนตะแคงหรือนอนคว่ำไปก่อนค่ะ เพื่อป้องกันการกดทับหน้า ซึ่งอาจจะใช้ตัวช่วยโดยการใช้หมอนข้างมากันไว้ทั้งซ้ายและขวา เพื่อไม่ให้เราเผลอพลิกตัวนอนตะแคง

หลังฉีดไม่ควรขยี้ตาค่ะ เพราะอาจเกิดการกระทบกระเทือนบริเวณที่ฉีดจนทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนผิดรูป รวมถึงหากขยี้ตาแรง ๆ อาจทำให้รอยเข็มเกิดการอักเสบหรือช้ำได้ค่ะ

คำตอบคือจริงค่ะ แต่ควรเป็นน้ำเปล่าเท่านั้นนะคะ นั่นเพราะฟิลเลอร์มีคุณสมบัติเป็นสารอุ้มน้ำ การดื่มน้ำเยอะ ๆ จึงช่วยให้ฟิลเลอร์กักเก็บความชุ่มชื้นได้ดีขึ้น เซ็ตตัวได้ดีขึ้น และผลลัพธ์อยู่ได้นานขึ้น นอกจากนี้ การดื่มน้ำเปล่าเยอะ ๆ ยังช่วยให้ผิวของเราเปล่งปลั่งและสุขภาพดีขึ้นอีกด้วยค่ะ

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ในการขัดขวางกระบวนการสมานแผล มีผลให้รอยเข็มหายช้ากว่าปกติ ทั้งยังทำให้เลือดสูบฉีดมาบริเวณใบหน้ามากขึ้น ทำให้มีเลือดออกบริเวณที่ฉีดฟิลเลอร์ได้ค่ะ จึงแนะนำให้เว้นไปก่อนในช่วง 14 วันหลังฉีด

นอกจากนี้ อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้คุณหมอไม่ค่อยในแนะนำให้ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หลังฉีด นั่นเพราะเมื่อดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จนขาดสติ คนเรามักจะขาดการระมัดระวังตัว จนอาจเผลอนวด จับ หรือกระแทกบริเวณที่ฉีดได้ค่ะ

ไม่แนะนำให้สูบค่ะ เนื่องจากในบุหรี่มีสารที่ทำให้หลอดเลือดขยายตัวหลายชนิด จึงส่งผลต่อกระบวนการสมานแผล ทำให้รอยเข็มหายช้าลง ยุบบวมช้าลง และผลการรักษาอยู่ได้สั้นลงเช่นเดียวกับการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ค่ะ

ในช่วง 48 ชั่วโมงแรกหลังฉีด การสัมผัสกับอากาศร้อนมาก ๆ จะทำให้เลือดหมุนเวียนมายังบริเวณใบหน้ามากขึ้น ส่งผลให้ใบหน้าบวมขึ้นได้ ในทางกลับกัน ถ้าเราอยู่ในที่อากาศเย็น ๆ หรือในห้องแอร์ อาการบวมก็จะยุบลงได้เร็วขึ้นค่ะ

ใต้ตาคล้ำจากภูมิแพ้ สามารถเกิดได้จาก 2 กรณี คือ

  • อาการภูมิแพ้ก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อดวงตา ทำให้รู้สึกคันจนต้องขยี้ตาแรง ๆ ส่งผลให้ผิวหนังรอบดวงตาบอบช้ำและดำคล้ำขึ้น
  • คนที่เป็นภูมิแพ้ เส้นเลือดดำที่อยู่รอบดวงตาจะขยายใหญ่ได้มากกว่าคนทั่วไป จึงทำให้เห็นเป็นรอยคล้ำใต้ตา

ซึ่ง HA Filler เป็นสารที่มีลักษณะเป็นเนื้อเจลใส ๆ หลังฉีดจึงช่วยปกปิดความหมองคล้ำของเม็ดสีและเส้นเลือดใต้ผิวได้ ร่องรอยความหมองคล้ำบริเวณใต้ตาจากภูมิแพ้จึงดูจางลงนั่นเองค่ะ นอกจากนี้ การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ทำให้ผิวใต้ตาของเราดูอิ่มฟู สุขภาพดีขึ้นได้อีกด้วย ดังนั้นหากใครที่มีปัญหารอยคล้ำใต้ตาจากอาการภูมิแพ้ ก็สามารถฉีดเพื่อแก้ไขปัญหาได้ค่ะ อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมเรื่องใต้ตาคล้ำ, ใต้ตาคล้ำจากภูมิแพ้

ด้วยเพราะฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่มีความปลอดภัยสูงมาก ดังนั้นจึงไม่มีการกำหนดค่ะว่าอายุเท่าไหร่ถึงควรเริ่มฉีดได้ เพราะส่วนใหญ่จะโฟกัสที่ปัญหาเป็นหลัก ดังนั้นถ้ารู้สึกว่าใต้ตาเริ่มมีปัญหา ก็สามารถเข้าพบคุณหมอเพื่อปรึกษาปัญหาก่อนตัดสินใจฉีดได้เลยค่ะ (ทั้งนี้ น้อง ๆ ที่อายุต่ำกว่า 18 ปีอาจจะต้องขออนุญาตผู้ปกครองก่อนนะคะ ถ้าคุณพ่อคุณแม่ไฟเขียวก็สามารถฉีดได้เลยค่ะ)

สองอย่างนี้สามารถฉีดร่วมกันได้เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นค่ะ โดยสามารถปรึกษาคุณหมอให้ช่วยประเมินว่าปัญหาของเราสามารถแก้ไขได้ด้วยฟิลเลอร์และโบท็อกได้หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่น คนที่มีปัญหาเบ้าตาลึกและมีริ้วรอยตีนกา ก็อาจจะฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมเต็มเบ้าตาให้ดูตื้นขึ้น และฉีดโบท็อกเพื่อลดเลือนริ้วรอยตีนกาได้ค่ะ

รอยย่นใต้ตา มักเกิดจากคอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวเกิดการเสื่อมสภาพ ทำให้ผิวหนังขาดความยืดหยุ่น เกิดเป็นรอยเหี่ยวรอยย่นใต้ตา ซึ่งการฉีดใต้ตาก็เปรียบเสมือนการเติมคอลลาเจนให้กับชั้นผิวที่เริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้ผิวใต้ตากลับมาเต่งตึงและเรียบเนียน รอยย่นใต้ตาจึงจางลงได้ค่ะ

ควรหลีกเลี่ยงการนวดหน้า โดยเฉพาะบริเวณใต้ตาที่ฉีดฟิลเลอร์ประมาณ 2-4 สัปดาห์ค่ะ เพราะจะมีผลทำให้ฟิลเลอร์เคลื่อนผิดรูปได้

ในวันที่เข้ารับการฉีดไม่แนะนำให้ใส่คอนแทกเลนส์ค่ะ แต่หลังฉีดเสร็จแล้วสามารถใส่ได้ตามปกติ เพียงแต่ควรระวังไม่ให้ระหว่างใส่มือไปกระทบโดนบริเวณที่ฉีดเท่านั้นเองค่ะ

ในช่วง 2-4 สัปดาห์แรกหลังฉีดฟิลเลอร์ที่บริเวณใต้ตา ไม่ควรเลเซอร์ร้อนทุกชนิดบริเวณใบหน้า รวมถึงการซาวน่า การอยู่หน้าเตาร้อน ๆ หรือการโดนความร้อนทุกชนิด แต่นั่นไม่ใช่เพราะกลัวฟิลเลอร์จะละลายอย่างที่ใครหลายคนเข้าใจนะคะ ความจริงแล้วความร้อนจะทำให้ผิวยืดหดมากกว่าปกติ ซึ่งส่งผลต่อการเซ็ตตัวของฟิลเลอร์นั่นเองค่ะ

เป็นหัตถการที่สามารถเห็นความเปลี่ยนแปลงได้ทันทีหลังฉีด แต่นั่นยังไม่ใช่ผลลัพธ์แบบ 100% นะคะ หลังฉีดทันทีจะเห็นผลลัพธ์ได้ประมาณ 70-80% ก่อนเนื้อฟิลเลอร์จะค่อย ๆ เซ็ตตัวเข้าที่และกลืนกับผิวของเราอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งกระบวนการนี้จะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ค่ะ

ดังนั้น ฟิลเลอร์ใต้ตากี่วันเห็นผล คำตอบก็คือเห็นผลได้ทันที แต่จะเห็นผลชัดเจนที่สุดหลังจากผ่านไป 2-3 สัปดาห์ค่ะ

ปกติผลลัพธ์ของการฉีดสามารถอยู่ได้นาน 6-18 เดือนขึ้นอยู่กับชนิดของสารเติมเต็มที่ใช้และการดูแลตัวเองหลังทำ ดังนั้นหากใครอยากฉีดเพิ่มเพื่อคงผลลัพธ์ไว้ ก็สามารถประเมินได้จากสภาพใต้ตาของเรา หากรู้สึกว่าฟิลเลอร์เริ่มสลาย ริ้วรอยเริ่มกลับมาเหมือนเดิม ก็สามารถเข้าพบคุณหมอเพื่อฉีดเพิ่มได้เลยค่ะ ไม่จำเป็นต้องรอระยะเวลาที่แน่นอนว่ากี่เดือนหรือกี่ปีถึงจะควรฉีดซ้ำ นอกจากนี้ การฉีดเพิ่มเพื่อคงผลลัพธ์ไว้ยังช่วยให้ประสิทธิภาพของฟิลเลอร์คงอยู่ได้ยาวนานขึ้นด้วยค่ะ เช่น หลังฉีดครั้งแรกเราอาจใช้เวลา 6 เดือนในการฉีดซ้ำอีกครั้ง ครั้งต่อไปก็อาจเว้นนานขึ้นเป็น 10 เดือนถึงค่อยฉีดซ้ำ เป็นต้น (ระยะเวลาจะแตกต่างไปในแต่ละบุคคลนะคะ) อ่านเนื้อหาเพิ่มเติมเรื่อง ฟิลเลอร์ใต้ตาควรฉีดทุกกี่ปี

หลังจากฟิลเลอร์สลายจนหมดแล้ว หากใครอยากฉีดเพิ่มเพื่อคงผลลัพธ์ไว้ ในส่วนนี้สามารถเลือกฉีดยี่ห้ออื่นได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องฉีดฟิลเลอร์รุ่นเดิมยี่ห้อเดิมตลอดไป แค่เน้นฉีดชนิดที่คุณสมบัติตรงกับสภาพผิวและปัญหาของเราก็พอค่ะ

อาการหลังฉีดแล้วบวม เป็นอาการปกติค่ะ เรียกว่าอาการบวมเข็ม นั่นเพราะการฉีดฟิลเลอร์คือการใช้เข็มแทงเข้าไปในเนื้อเยื่อ ทำให้เนื้อเยื่อเกิดอาการบาดเจ็บ ของเหลวในร่างกายจึงไหลออกมารวมกับบริเวณเนื้อเยื่อนั้น ๆ และเกิดเป็นอาการบวมขึ้น นับเป็นอาการปกติ ไม่อันตราย ซึ่งในคนไข้บางรายก็อาจไม่มีอาการบวมเลยก็ได้ค่ะ

แต่หากพ้น 3 วันไปแล้วยังคงมีอาการบวมมากขึ้น ปวดบวม เป็นผื่นแดง มีรอยช้ำบริเวณกว้าง หรือยังคงบวมนานกว่า 2 สัปดาห์ แนะนำให้รีบพบแพทย์เพื่อประเมินอาการนะคะ เพราะอาการเหล่านี้นับเป็นอาการบวมที่ไม่ปกติค่ะ

อาการหลัก ๆ ที่พบได้บ่อยคืออาการบวมค่ะ เกิดจากการที่เนื้อฟิลเลอร์ยังไม่เข้าที่ดี แต่สามารถหายได้เองภายใน 3 สัปดาห์ จึงไม่ต้องกังวลเลย ส่วนอาการอื่น ๆ ก็มีเพียงรอยเข็มเล็ก ๆ ที่สามารถหายได้เองภายใน 2-5 วันค่ะ

หากใครกำลังมองหาวิธีแก้ปัญหาขอบตาดำ ตาลึก เบ้าตาโหล ถุงใต้ตาหย่อนยาน ปัญหาริ้วรอยต่าง ๆ รอบดวงตา การฉีดฟิลเลอร์นับเป็นวิธีที่สามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้อย่างตรงจุดที่สุด ทั้งยังมีความปลอดภัยสูง สามารถเห็นผลได้เร็ว ที่สำคัญคือไม่ต้องเจ็บตัว ไม่ต้องเสียเวลาพักฟื้น จึงนับเป็นวิธีแก้ปัญหาผิวรอบดวงตาที่ดีวิธีหนึ่งเลยค่ะ

หลังฉีดแล้ว เป็นปกติที่จะมีอาการบวมเล็กน้อยค่ะ โดยอาการบวมนี้สามารถยุบได้เองภายใน 4-5 วัน และจะยุบบวมอย่างเต็มที่ภายใน 3 สัปดาห์ หลังยุบบวมก็จะสามารถเห็นผลลัพธ์ของการฉีดฟิลเลอร์ได้ชัดเจนมากขึ้นค่ะ

ข้อดีอย่างหนึ่งคือเป็นหัตถการที่ยืดหยุ่นมาก สามารถฉีดเพิ่มได้หากต้องการผลลัพธ์ที่ชัดเจนขึ้น และสามารถฉีดสลายได้อย่างหมดจดหากไม่พอใจในผลลัพธ์หรือเกิดการเปลี่ยนใจ ดังนั้น หากใครต้องการแก้ไขหลังฉีดฟิลเลอร์ใต้ตา ก็สามารถฉีดเพิ่มหรือฉีดสลายได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายค่ะ (ในกรณีที่ใช้ฟิลเลอร์ของแท้เท่านั้น)

ด้วยความที่การฉีดฟิลเลอร์เป็นหัตถการที่ต้องใช้เข็ม ดังนั้นจึงอาจรู้สึกเจ็บเล็กน้อยตอนที่เข็มจิ้มเข้าสู่ผิวหนัง และอาจจะมีความรู้สึกตอนที่กำลังฉีดสารเติมเต็มเข้าไป แต่เป็นความเจ็บในระดับที่ทนได้ แต่โดยปกติแล้ว คุณหมอจะแปะยาชาให้ก่อนฉีดอยู่แล้วค่ะ บางคนจึงแทบไม่รู้สึกถึงความเจ็บเลย

การฉีดสามารถดูแลผิวใต้ตาให้อิ่มฟู เรียบเนียน และกระจ่างใสขึ้นได้ ทั้งยังช่วยลดเลือนริ้วรอยต่าง ๆ จึงไม่ต่างจากการทาครีมบำรุงเลยค่ะ แถมยังให้ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและรวดเร็วกว่าด้วยซ้ำ แต่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น สามารถฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาควบคู่ไปกับการทาครีมบำรุงได้ค่ะ ใต้ตาของเราจะได้ดูดีได้อย่างยาวนานยิ่งขึ้น

หลังฉีดสามารถกรีดตาได้ แต่แนะนำให้กรีดอย่างระมัดระวัง เบามือให้มากที่สุด พยายามเลี่ยงรอยเข็ม และอย่าขยี้ กดทับ หรือนวดบริเวณที่ฉีดเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เนื้อฟิลเลอร์เคลื่อนที่ออกจากบริเวณที่ต้องการได้

การฉีดสลายฟิลเลอร์ใต้ตา สามารถทำได้ในเคสที่ฉีดแล้วมีอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ฉีดแล้วเป็นก้อน ไม่พอใจในผลลัพธ์ เป็นต้น โดยตัวยาที่ใช้ฉีดสลาย คือ ไฮยาลูโรนิเดส ซึ่งถ้าหากฉีดฟิลเลอร์ด้วยสารไฮยาลูรอนิค แอซิด (HA Filler) ก็จะสามารถฉีดสลายด้วยตัวยานี้ได้อย่างหมดจดโดยไม่ทิ้งสารตกค้างค่ะ

คำถามนี้สามารถตอบได้เลยว่า “ไม่” ค่ะ เพราะการฉีดฟิลเลอร์จะช่วยให้ผิวบริเวณที่ฉีดมีความชุ่มชื้น รวมถึงช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอีลาสตินในผิวบริเวณนั้นได้ด้วย ดังนั้นแม้ว่าฟิลเลอร์จะสลายจนหมด คอลลาเจนและอีลาสตินในชั้นผิวที่ร่างกายสร้างขึ้นก็จะยังคงอยู่ ส่งผลให้ผิวมีสภาพดูดีขึ้นกว่าตอนที่ยังไม่ฉีดด้วยซ้ำ (แต่ก็จะไม่ได้ดูดีเท่าตอนที่ฟิลเลอร์ยังไม่สลายตัวนะคะ)

แต่ทั้งนี้ ถ้าหากไม่อยากให้ใต้ตากลับมาสภาพย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม หลังฟิลเลอร์สลายจนหมดก็ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่เป็นตัวกระตุ้น เช่น การพักผ่อนไม่เพียงพอ การชอบสัมผัสใต้ตาแรง ๆ เป็นต้น ส่วนพวกริ้วรอยต่าง ๆ อันเกิดจากปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ เป็นธรรมดาที่เมื่อเวลาผ่านไปริ้วรอยเหล่านั้นก็จะยิ่งชัดขึ้น ซึ่งนอกจากวิธีดูแลตัวเองโดยพื้นฐานแล้ว การฉีดฟิลเลอร์ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่จะช่วยชะลอริ้วรอยแห่งวัยเหล่านั้นได้ค่ะ

หากฉีดกับหมอเถื่อนและใช้ฟิลเลอร์ปลอม ก็มีโอกาสฉีดผิดพลาดจนทำให้ฟิลเลอร์ไหลเข้าหลอดเลือดจนเกิดการอุดตัน ทำให้เสี่ยงต่ออาการตาพร่ามัวหรือตาบอดได้ แต่ถ้าในกรณีอยู่ในความดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ผลข้างเคียงเหล่านี้แทบจะไม่เกิดขึ้นเลยค่ะ ดังนั้นก่อนตัดสินใจทำหัตถการก็ควรเลือกฉีดกับแพทย์ผู้มีประสบการณ์เท่านั้น จะได้ลดความเสี่ยงในเรื่องของอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ

สาร HA Filler ที่ฉีดเข้าสู่ร่างกายไม่เป็นอันตรายต่อคุณแม่ค่ะ ไม่ส่งผลให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง และไม่มีผลต่อบุตรในครรภ์ ดังนั้นคุณแม่จึงสามารถฉีดได้ค่ะ แต่ควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญนะคะ

หลังฉีดสามารถแต่งหน้าได้ตามปกติค่ะ แต่อาจจะต้องพยายามเลี่ยงบริเวณรอยเข็ม และควรสัมผัสบริเวณที่ฉีดอย่างเบามือ เพื่อป้องกันฟิลเลอร์เคลื่อนที่ผิดตำแหน่งค่ะ

ไม่จริงค่ะ แต่แนะนำว่าให้ล้างหน้าด้วยอุณหภูมิปกติจะดีที่สุด เพราะน้ำอุ่นจะทำให้หน้าแห้ง ขาดความชุ่มชื้น แต่ไม่ได้ทำให้ฟิลเลอร์ละลายแต่อย่างใด

ปกติจะเห็นผลได้ทันทีหลังฉีดประมาณ 70-80% ดังนั้นหากฉีดแล้วไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง อาจเกิดได้จากข้อผิดพลาดด้านเทคนิคการฉีดอันเกิดจากความไม่เชี่ยวชาญของแพทย์ เช่น ฉีดแก้ปัญหาไม่ตรงจุด จึงทำให้ไม่เห็นความเปลี่ยนแปลง หรืออาจเกิดได้จากเลือกใช้สารเติมเต็มไม่ตรงกับประเภทของมัน เป็นต้น

สามารถทำได้ แต่ควรรอให้ฟิลเลอร์สลายจนหมดก่อน และควรแจ้งศัลยแพทย์ก่อนผ่าตัดเพื่อให้แพทย์ช่วยประเมินเป็นรายเคสว่าสามารถเข้ารับการผ่าตัดถุงใต้ตาได้ไหม

สามารถฉีดได้ค่ะ แต่มีข้อแม้ว่าควรให้แพทย์ช่วยประเมินก่อนว่าตาแห้งมากน้อยแค่ไหน ถ้าแห้งไม่มาก แพทย์ก็อาจจะให้หยอดน้ำตาเทียมเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อนฉีด แต่ถ้าตาแห้งมาก ๆ อาจต้องหยอดน้ำตาเทียมพักใหญ่ ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ จึงจะเริ่มฉีดฟิลเลอร์ได้ค่ะ

อันที่จริงไม่มีข้อห้ามระบุชัดเจนว่า หลังฉีดห้ามทำเลสิก แต่เพื่อเป็นการเซฟไว้ก่อน อาจจะรอให้ฟิลเลอร์เข้าที่สัก 2-4 สัปดาห์ แล้วค่อยปรึกษาแพทย์ก่อนทำเลสิก เพื่อป้องอาการบวมหลังทำ อาการอักเสบ หรืออาการเคืองตาคันตาที่อาจเกิดขึ้นได้ค่ะ

สามารถทำได้ค่ะ แต่ควรเว้นระยะห่างประมาณ 1 เดือน ให้แผลที่กระจกตาหายเป็นปกติก่อน เมื่อแผลปิดสนิทและเข้าที่ดีแล้วจึงค่อยปรึกษาแพทย์เพื่อทำการฉีดฟิลเลอร์ต่อไปค่ะ

สรุป

ฟิลเลอร์ใต้ตา (Under Eyes Filler) เป็นหัตถการที่เข้ามาช่วยเติมเต็มผิวบริเวณใต้ตาให้ดูสดใสขึ้น ซึ่ง Filler ใต้ตาได้รับความนิยมมากเพราะด้วยผลลัพธ์ที่เห็นได้เลยทันทีหลังฉีด อีกทั้งยังใช้เวลาทำไม่นาน การฉีดฟิลเลอร์ใต้ตาจึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการคืนความเปล่งปลั่งให้กับดวงตา เปลี่ยนดวงตาโทรมให้เป็นตาสวยได้เพียงไม่กี่นาที และถ้าจะให้ดีที่สุดควรฉีดกับแพทย์ที่มีประสบการณ์ด้าน Filler และปรับรูปหน้า สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะบุคคลได้อย่างแม่นยำ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาตามมาทีหลัง สำหรับใครที่สนใจทาง Doctor Mek Clinic พร้อมให้บริการภายใต้อาจารย์แพทย์ด้านฟิลเลอร์คอยให้การดูแลอย่างใกล้ชิด พร้อมให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการรักษา สามารถทักเข้ามาสอบถามเพิ่มเติมได้ตามช่องทางการติดต่อของคลินิกได้เลยนะคะ

ขอขอบคุณ ข้อมูลจาก นพ.วัชพล ธนมิตรามณี (คุณหมอเมฆ)​
นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการฉีดฟิลเลอร์และหัตถการเสริมความงาม