รอยแผลเป็นจากสิว รักษาด้วยวิธีไหนให้ได้ผลดีที่สุด? ปัญหารอยแผลเป็นจากสิวเรียกได้ว่าเป็นฝันร้ายของใครหลาย ๆ คนเลยก็ว่าได้ เพราะนอกจากจะต้องทรมานจากการเป็นสิวแล้ว ยังจะมามีปัญหากวนใจหลังสิวหายอีก แถมยังรักษายากมาก ครีมไหนที่ว่าดีก็ไม่เคยที่จะทาเห็นผลสักที แต่ทุกคนรู้หรือไม่คะว่าแม้รอยแผลเป็นจากสิวจะรักษายาก แต่มันสามารถรักษาได้ค่ะ แต่จะด้วยวิธีไหนนั้น บทความนี้มีคำตอบแน่นอน
ก่อนจะไปตามหาวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิว เราจำเป็นต้องทำความเข้าใจก่อนว่ารอยแผลเป็นจากสิวบนใบหน้าเกิดจากอะไร เพื่อจะได้หาทางแก้ไขให้ตรงจุดมากที่สุด ซึ่งรอยแผลเป็นจากสิวมักเกิดจากการที่เราไปกด เคล้น หรือบีบสิวอักเสบจนเป็นการทำร้ายผิวบริเวณรอบ ๆ ไปด้วย ทั้งยังทำให้ผิวบาดเจ็บลึกกว่าเก่า โดยส่วนใหญ่รอยแผลที่พบบ่อย จะมีลักษณะเป็นรอยบุ๋มลงไปคล้ายหลุม หรือเป็นรอยนูนขึ้นมา อันเกิดจากร่างกายไม่สามารถสมานแผลได้อย่างสมบูรณ์จากอาการบาดเจ็บของผิวที่เกิดขึ้นลึกเกินไป ทำให้เกิดเป็นรอยแผลเป็นจากสิวในที่สุด
เมื่อสิวหาย ผิวหน้าของเราจะเกิดกระบวนการสมานแผลบริเวณที่เป็นสิวให้กลับมาเรียบเนียนดังเดิม โดยการสร้างคอลลาเจนและเนื้อเยื่อมาช่วยสมานแผล แต่เพราะกระบวนการสมานแผลดังกล่าวไม่สมบูรณ์ คอลลาเจนและเนื้อเยื่อที่สร้างขึ้นใหม่จึงไม่เพียงพอที่จะปกปิดให้รอยแผลจากสิวนั้นเรียบเนียน นี่จึงเป็นเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้ใครหลายคนมีรอยแผลเป็นจากสิวหลังสิวหาย แต่นอกจากนี้ก็ยังมีสาเหตุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดรอยแผลเป็นจากสิวได้ เช่น ความตึงบริเวณแผล หรือการหดรั้งของแผล เป็นต้น
รอยแผลเป็นจากสิวมีกี่ประเภท
รอยแผลเป็นจากสิวที่พบได้บ่อยจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- แผลเป็นหลุมสิว แผลเป็นชนิดนี้จะมีลักษณะเป็นหลุมตั้งแต่ระดับตื้นไปจนถึงลึก มักเกิดจากสิวประเภทสิวหัวช้างหรือสิวอักเสบ พบได้บ่อยบริเวณแก้ม จมูก และคาง
- แผลเป็นนูนและคีลอยด์ รอยแผลจะมีลักษณะนูนและแข็ง มีสีเดียวกับผิวหน้าหรือมีสีชมพูออกแดง โดยแผลนูนจะมีขนาดเท่ากับสิวที่ทำให้เกิดรอยส่วนแผลคีลอยด์จะมีขนาดใหญ่กว่าค่ะ
- รอยด่างดำจากสิว นับเป็นรอยแผลเป็นที่รุนแรงน้อยที่สุด เกิดจากการแกะหรือบีบสิวอักเสบจนเป็นรอยแดงจนทำให้ผิวบริเวณนั้นมีการผลิตเม็ดสีเมลานินออกมาจำนวนมาก บริเวณสิวที่หายจึงเกิดเป็นรอยสีเข้มขึ้น
วิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวให้ใบหน้ากลับมาเรียบเนียน
อย่างที่เราบอกในข้างต้นว่ารอยแผลเป็นจากสิวเป็นสิ่งที่รักษายาก แต่ก็ใช่ว่าจะรักษาไม่ได้ค่ะ ซึ่งวิธีที่นิยมใช้เพื่อรักษารอยแผลเป็นจากสิวในปัจจุบันจะได้แก่
- รักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยยา
โดยยาที่ใช้จะมีทั้งแบบยาทาและยาทาน เหมาะสำหรับผู้ที่มีแผลเป็นจากสิวแบบตื้น โดยแพทย์จะเลือกพิจารณาจ่ายยาตามสภาพปัญหาของคนไข้แต่ละราย ซึ่งยาที่รับประทานมักจะเป็นยาที่สกัดจากอนุพันธุ์ของวิตามินเอ และที่สำคัญคือ การรักษาด้วยวิธีนี้จำเป็นต้องอาศัยความต่อเนื่องและมีระเบียบวินัย เพื่อให้ผลลัพธ์การรักษาออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุดนะคะ - ทาครีมแก้ปัญหาจุดด่างดำจากสิว
วิธีพื้นฐานที่ใครหลายคนนึกถึง เหมาะสำหรับผู้ที่เป็นรอยแผลเป็นชนิดจุดด่างดำ ซึ่งวิธีนี้สามารถทำได้ง่าย แต่จำเป็นต้องใช้ระยะเวลาและความสม่ำเสมอในการทาครีม และต้องอย่าลืมเลือกใช้ครีมที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้วยนะคะ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้หน้าพังกว่าเดิมค่ะ - ทาครีมลดรอยแผลเป็น
สำหรับใครที่มีปัญหาแผลเป็นจากสิวชนิดนูนหรือมีแผลคีลอยด์ การทำครีมลดรอยแผลเป็นก็เป็นวิธีที่จะช่วยให้รอยนูนเหล่านั้นนิ่มขึ้นและมีขนาดเล็กลงได้ค่ะ แต่อาจต้องใช้ระยะเวลาและควรทาเป็นประจำบ่อย ๆ เพื่อให้เริ่มเห็นผลลัพธ์ชัดเจนขึ้น - การกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมญี (Dermabrasion)
วิธีนี้จะเป็นการกรอผิวโดยการพ่นผงคริสตัล (ผงที่ทำด้วยผลึกอะลูมิเนียมออกไซด์ที่มีขนาดเล็กเท่ากับทรายละเอียด) ลงบนผิว เมื่อผงคริสตัลกระทบกับผิว มันจะช่วยขัดผิวหนังส่วนขี้ไคลและหนังกำพร้าส่วนบนให้หลุดลอกออกเร็วกว่าปกติ เปรียบเสมือนการใช้เครื่องมือเพื่อกรอชั้นหนังกำพร้าออก ทำให้รอยแผลเป็นจากสิวบนใบหน้าดูตื้นขึ้น ใช้ได้กับรอยแผลเป็นชนิดหลุมและแผลนูนค่ะแต่ข้อควรระวังคือการกรอผิวด้วยเกล็ดอัญมณีจะไม่เหมาะสำหรับคนที่มีผิวแพ้ง่ายและคนที่เป็นสิวอักเสบ เนื่องจากการกรอผิวจะทำให้ผิวหน้าเกิดการระคายเคืองมากขึ้น ทั้งยังอาจทำให้สิวเกิดการอักเสบมากขึ้นอีกด้วย - การใช้กรดลอกผิว (Chemical Peeling)
วิธีนี้จะเป็นการใช้สารเคมีทาลงไปบนผิวหนัง จากนั้นสารเคมีก็จะก่อให้เกิดแผลขึ้น (เป็นแผลที่แพทย์สามารถควบคุมได้) เพื่อให้ร่างกายเร่งกระบวนการซ่อมแซมบาดแผลจนทำให้ผิวหนังเกิดขึ้นใหม่ นับเป็นวิธีรักษาโดยการกระตุ้นให้ผิวหนังชั้นนอกหลุดออกไป รอยแผลเป็นจากสิวจึงดูตื้นขึ้น ซึ่งจะใช้สารประกอบเคมี 3 ชนิดในการเร่ง ได้แก่ Glycolic Acid, Salicylic Acid และ Trichloroacetic Acid การใช้กรดลอกผิวสามารถรักษารอยแผลเป็นชนิดหลุมและแผลนูนได้ แต่ข้อควรระวังคือ ต้องระวังการระคายเคืองบนผิวหน้าและอาจทำให้ผิวหน้าเป็นขุยได้ค่ะ - การตัดพังผืด (Subcision)
เป็นวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวด้วยการสอดเข็มเข้าใต้ผิวหนังเพื่อตัดพังผืดที่รั้งผิวไว้ เหมาะสำหรับรอยแผลเป็นชนิดหลุม โดยระหว่างทำอาจรู้สึกระคายเคืองผิวบ้าง โดยเฉพาะขณะที่สอดเข็มเข้าใต้ผิวหนังเพื่อตัดเซาะพังผืด ขั้นตอนนี้อาจมีความรู้สึกเจ็บและมีเลือดซึมออกมาเล็กน้อย ซึ่งวิธีนี้จะเริ่มเห็นผลชัดเจนขึ้นหลังทำต่อเนื่องประมาณ 3-5 ครั้ง โดยใช้ความถี่ในการทำทุก ๆ 3-6 สัปดาห์ค่ะ - การผ่าตัดรอยแผลเป็นจากสิว (Excision)
วิธีนี้จะเหมาะสำหรับรอยแผลเป็นจากสิวชนิดหลุมที่กว้างมากและลึกมากจนไม่สามารถรักษาด้วยวิธีอื่นได้ รวมถึงสามารถผ่าตัดนำรอยแผลเป็นที่เป็นแผลนูนหรือคีลอยด์ออกได้ โดยวิธีการรักษาแพทย์จะทำการตัดบริเวณที่เป็นรอยแผลเป็นจากสิวและค่อยเย็บติดเข้าหากัน แต่ทั้งนี้ ข้อเสียของการผ่าตัดคือ จำเป็นต้องใช้เวลาพักฟื้นใบหน้านานและยังอาจก่อให้เกิดแผลเป็นจากรอยผ่าตัดในภายหลังได้ - HA-Filler เติมเต็มรอยแผลเป็นจากสิว
วิธีนี้จะเป็นการฉีดสารไฮยาลูรอนิก แอซิดเข้าไปบริเวณรอยแผลเป็นจากสิวชนิดหลุมเพื่อเติมให้หลุมบนใบหน้าตื้นขึ้น โดยขั้นตอนการทำ แพทย์จะตัดพังผืดใต้ผิวที่ดึงรั้งหลุมจากสิวไว้ออกก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยฉีดสารเติมเต็มเข้าไปเติมเต็มช่องว่างให้ผิวกระชับและเรียบเนียนขึ้นอย่างสุขภาพดี วิธีนี้นับเป็นวิธีที่เห็นผลได้เร็วที่สุดและชัดเจนที่สุด อีกทั้ง HA-Filler ยังมีคุณสมบัติช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิว ทำให้สุขภาพผิวดียิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเป็นการแก้ปัญหาได้ตรงลึกถึงต้นเหตุ ทั้งช่วยกำจัดพังผืดที่ดึงรั้งรอยแผลเป็นจากสิวไว้ และยังช่วยเติมเต็มผิวให้อิ่มฟู กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนในชั้นผิวได้อีกด้วยจุดเด่นของวิธีนี้คือ สามารถเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังทำครั้งแรก ไม่ทิ้งรอยแผลหลังทำ ไม่จำเป็นต้องพักฟื้น ทั้งยังไม่มีผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายอีกด้วย โดยในการฉีดหนึ่งครั้ง ผลลัพธ์สามารถอยู่ได้นาน 9-12 เดือน (ระยะเวลาแตกต่างออกไปในแต่ละบุคคล) แต่ถ้าใครอยากคงผลลัพธ์ให้อยู่ได้นาน ๆ ก็สามารถฉีดซ้ำได้โดยไม่เป็นอันตรายค่ะ
บทสรุป! รักษารอยแผลเป็นจากสิว วิธีไหนดีที่สุด
ตามความเป็นจริงแล้ว แต่ละวิธีจะให้ผลลัพธ์ที่ดีหรือไม่ล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของเราเองค่ะ อยู่ที่ว่าปัญหาของเราเหมาะสมจะใช้วิธีไหนจัดการให้ผลลัพธ์ออกมามีประสิทธิภาพมากที่สุด โดยเริ่มพิจารณาก่อนเลยว่าใบหน้าของเราเป็นรอยแผลเป็นจากสิวชนิดไหน เพื่อจะได้เลือกวิธีการรักษาต่อไปค่ะ
แต่สำหรับใครที่มีปัญหารอยแผลเป็นจากสิวที่ค่อนข้างหนัก เช่น การเป็นหลุมสิวเรื้อรัง รักษาด้วยวิธีไหนก็ไม่หาย วิธีที่เราอยากแนะนำมากที่สุดก็คือ การฉีด HA-Filler เติมเต็มหลุมสิวให้ตื้นขึ้น เพราะเป็นวิธีที่ไม่เสี่ยงต่อผลข้างเคียงร้ายแรง สามารถเห็นผลได้ทันทีหลังฉีด ทั้งยังช่วยฟื้นฟูสุขภาพผิวให้ดีขึ้นได้อีกด้วย
ดังนั้น สำหรับใครที่กำลังมองหาวิธีรักษารอยแผลเป็นจากสิวที่ปลอดภัยและเห็นผลได้ชัดเจน ฟิลเลอร์หลุมสิว ก็นับเป็นหัตถการที่แพทย์หลายท่านให้การแนะนำเลยค่ะ แต่สิ่งสำคัญก่อนตัดสินใจทำคือ ควรเข้าปรึกษาแพทย์เพื่อให้แพทย์ประเมินใบหน้าก่อนนะคะ แพทย์จะได้ช่วยประเมินปัญหาและวางแผนการรักษาให้ผลลัพธ์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดค่ะ