Juvederm Filler สัญชาติอเมริกา ดีจริงไหม? พร้อมตอบหมดเปลือก!

Juvederm Filler

เชื่อว่าหลายคนคงคุ้นเคยกับยี่ห้อ Juvederm Filler สารเติมเต็มสัญชาติอเมริกาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในแวดวงความงาม เพราะได้มีการผลิตออกมาให้เราเลือกใช้บริการอยู่หลายรุ่นเลยทีเดียว โดยมาพร้อมกับคุณสมบัติที่มีความแตกต่างกัน เพื่อนำไปใช้ในการเติมเต็มใบหน้าในตำแหน่งที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มวอลลุ่มผิว แก้ไขปัญหาผิว ยกกระชับหรือปรับรูปหน้า ก็สามารถให้ผลลัพธ์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และข้อสำคัญที่สุดคือ เป็นสารเติมเต็มที่ให้ผลลัพธ์ได้อย่างยาวนาน บทความนี้ก็เลยจะพาทุกคนมาทำความรู้จักให้มากขึ้นว่าแต่ละรุ่นมีอะไรบ้าง เหมาะสำหรับฉีดจุดไหน ราคาเท่าไหร่ ผลลัพธ์อยู่ได้นานแค่ไหน และมีอะไรอื่น ๆ ที่น่าสนใจอีกบ้าง

พามารู้จักยี่ห้อ Juvederm Filler คืออะไร

Juvederm Filler คือ สารเติมเต็มที่อยู่ในกลุ่มของไฮยาลูรอนิก แอซิด (Hyaluronic Acid / HA) ซึ่งเป็นสารที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเติมเต็ม แก้ไข ปรับรูปในจุดที่บกพร่อง โดยสารชนิดนี้เป็นสารที่ถูกเลียนแบบขึ้นมาชนิดเดียวกับสารที่อยู่ในร่างกายของตัวเราเอง เมื่อเวลาผ่านไปสารชนิดนี้จะสามารถสลายตัวได้ตามกลไกธรรมชาติ มีความปลอดภัยสูง ซึ่งความโดดเด่นของยี่ห้อนี้เลยก็คือ กระบวนการผลิตด้วยเทคโนโลยีที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะทั้ง 2 เทคโนโลยี ได้แก่ Hylacross Technology และ Vycross Technology ทำให้มันสามารถเข้าไปตอบสนองการแก้ไขปัญหาที่แตกต่างกันออกไปเฉพาะจุดได้อย่างลงตัว ให้ผลลัพธ์ที่เป็นธรรมชาติ ผ่านการรับรองจากองค์การอาหารและยาของประเทศสหรัฐอเมริกา (US FDA) และองค์การอาหารและยาของไทย (TH FDA)

ผลิตด้วยเทคโนโลยีเฉพาะที่ให้ผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพ

สำหรับฟิลเลอร์ Juvederm ก็จะถูกแยกออกไปในแต่ละรุ่น และใช้เทคโนโลยีการผลิตที่แตกต่างกัน ทำให้ได้ลักษณะทางกายภาพของสารเติมเต็มนั้นแตกต่างกันออกไปด้วย เพื่อให้เหมาะสำหรับนำมาแก้ไขปัญหาตามบริเวณต่าง ๆ บนใบหน้าได้อย่างครอบคลุม และมีประสิทธิภาพมากที่สุด โดย 2 กระบวนการผลิตหลักของยี่ห้อนี้ก็คือ

ผลิตด้วยเทคโนโลยีเฉพาะที่ให้ผลลัพธ์อย่างมีประสิทธิภาพ

Hylacross Technology

จุดเด่นของเทคโนโลยีนี้ก็คือ จะมีค่าความอุ้มน้ำและความยืดหยุ่นได้สูงเลยทีเดียว ทำให้เนื้อเจลมีความละเอียด ฟู ฉีดแล้วมีความยืดหยุ่นและเรียบเนียนไปกับผิว ในแต่ละรุ่นก็จะเหมาะสำหรับนำมาฉีดในบริเวณที่มีการขยับสีหน้าบ่อย เพราะมันสามารถทนต่อแรงขยับได้ดี หรือในจุดที่มีปัญหาร่องลึกที่เกิดจากไขมัน หรือกระดูกที่ยุบตัวลง จนทำให้ในบริเวณนั้นดูซูบตอบ สำหรับรุ่นที่ถูกผลิตด้วยเทคโนโลยีนี้ก็คือ

  • Juvederm Ultra XC
  • Juvederm Ultra Plus XC

Vycross Technology

เป็นเทคโนโลยีการผลิตล่าสุด ที่ถูกพัฒนามาจากเทคโนโลยีแรก มันจึงทำให้สารเติมเต็มมีความอุ้มน้ำลดลง และมีโมเลกุลที่ยึดเกาะกับผิวได้ดี คุณสมบัติเด่นเลยก็คือ ช่วยเรื่องของการยกกระชับผิว เมื่อฉีดแล้วก็จะทำให้ผิวดูเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ เหมาะแก่การนำมาเติมร่องลึกให้ดูตื้นขึ้น หรือเพิ่มความอวบอิ่มให้กับริมฝีปาก รุ่นที่ถูกผลิตด้วยเทคโนโลยีนี้ ได้แก่

  • Juvederm Volite
  • Juvederm Voluma
  • Juvederm Volift
  • Juvederm Volbella
  • Juvederm Volux

ฉีด Juvederm ช่วยอะไรบ้าง

  • ช่วยเติมเต็มร่องลึกให้ตื้นขึ้น ทำให้ผิวมีวอลลุ่ม
  • ช่วยปรับรูปหน้าให้ได้สัดส่วนมากยิ่งขึ้น
  • ช่วยเก็บรายละเอียดริ้วรอยเล็ก ๆ บนใบหน้าให้เรียบเนียน
  • ช่วยยกกระชับใบหน้า
    ช่วยปรับโหงวเฮ้งใบหน้าตามความเชื่อโบราณ
    ช่วยปรับริมฝีปากให้อวบอิ่ม ได้เติมขอบปากให้ชัดขึ้น
    ช่วยเติมเต็มความสดใสให้กับรอบดวงตา

Juvederm เหมาะกับใครบ้าง

  • เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับรูปหน้า เพิ่มวอลลุ่มให้กับผิว
  • เหมาะสำหรับคนที่ผิวมีร่องลึก ทำให้ใบหน้าดูซูบตอบ เป็นแอ่ง
  • เหมาะสำหรับคนที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ เช่น ระหว่างคิ้ว หน้าผาก
  • เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับรูปปากให้ดูอวบอิ่ม ชัดขึ้น
  • เหมาะสำหรับคนที่ต้องการเห็นผลเร็ว ไม่มีเวลาพักฟื้น
  • เหมาะสำหรับคนที่ต้องการปรับรูปหน้าแต่ไม่อยากทำศัลยกรรม

Juvederm มีทั้งหมดกี่รุ่น สามารถฉีดจุดไหนได้บ้าง

ในแต่ละรุ่นของยี่ห้อ Juvederm ได้ถูกแยกออกเป็น 2 กระบวนการผลิต ได้แก่ Hylacross และ Vycross ทำให้สารเติมเต็มและโมเลกุลในแต่ละรุ่นนั้น มีความแตกต่างกันออกไป เหมาะสำหรับนำมาฉีดในระดับความลึกที่ไม่เหมือนกันด้วยค่ะ โดยคุณสมบัติของแต่ละรุ่น มีดังนี้

Juvederm Ultra XC

Ultra XC

รุ่นนี้จะผลิตด้วยกลุ่มเทคโนโลยี Hylacross ทำให้ได้ลักษณะสารเติมเต็มที่มีเนื้อนิ่ม ฉีดแล้วกลืนไปกับผิวได้อย่างเรียบเนียนเป็นธรรมชาติ มาพร้อมคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดีมาก จึงทำให้ได้เนื้อที่มีความฟู นิยมนำมาฉีดบริเวณร่องลึก หรือส่วนที่มีความยุบต่อบนใบหน้า

เหมาะสำหรับ : ฉีดบริเวณแก้มตอบ ขมับตอบ จมูก และคาง
ผลลัพธ์ : อยู่ได้นานประมาณ 8-12 เดือน (*ผลการรักษาขึ้นอยู่กับรายบุคคล)

Juvederm Ultra Plus XC

Ultra Plus XC

เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยี Hylacross โดยรุ่นนี้ เนื้อเจลจะมีความหนาแน่นและคงตัวสูง และยังสามารถทนต่อแรงขยับบนใบหน้าได้ดี มันจึงถูกนำมาเติมเต็มในจุดที่มีแอ่งในระดับลึกมาก หรือนำมาฉีดในบริเวณที่ต้องการความอิ่มฟู หรือเพิ่มวอลลุ่มให้กับผิว

เหมาะสำหรับ : เติมเต็มขมับตอบ แก้มตอบ ร่องแก้ม หรือปรับรูปคาง

ผลลัพธ์ : อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน (*ผลการรักษาขึ้นอยู่กับรายบุคคล)

Juvederm Volite

Volite

Juvederm volite เป็นรุ่นที่ได้เทคโนโลยีการผลิตจาก Vycross และเป็นรุ่นที่มีโมเลกุลละเอียด เนื้อบางเบา เมื่อฉีดเข้าไปแล้วจะกลืนไปกับผิวได้ดี ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ให้ผิวมีความเรียบเนียนอย่างเป็นธรรมชาติ และยังเป็นรุ่นที่เน้นเรื่องการปรับปรุงคุณภาพผิวได้ดี

เหมาะสำหรับ : เติมเต็มบริเวณที่มีริ้วรอยเล็ก ๆ เช่น ใต้ตา ลำคอ

ผลลัพธ์ : อยู่ได้นานประมาณ 8-12 เดือน (*ผลการรักษาขึ้นอยู่กับรายบุคคล)

Juvederm Voluma

Voluma

รุ่นนี้ Juvederm voluma เป็นรุ่นที่มีเนื้อเจลแข็ง โมเลกุลขนาดใหญ่ และมีความฟูในระดับปานกลาง โดยผ่านกระบวนการผลิตอย่าง Vycross มาอีกเช่นเดียวกัน เหมาะสำหรับนำมาฉีดเพื่อปั้นทรง หรือเติมเต็มพื้นที่ที่เป็นร่องลึก หรือบริเวณที่มีการยุบตัวลงของกระดูก นอกจากนี้ ยังช่วยยกกระชับใบหน้าช่วง Midface ได้อีกด้วย

เหมาะสำหรับ : ฉีดขมับ แก้มตอบ แก้มส้ม ร่องแก้ม มุมปาก ปรับรูปคาง หรือยกกระชับบริเวณส่วนกลางของใบหน้า (Midface)

ผลลัพธ์ : อยู่ได้นานประมาณ 18 เดือน (*ผลการรักษาขึ้นอยู่กับรายบุคคล)

Juvederm Volift

Volift

จุดเด่นของรุ่นนี้คือ มีเนื้อเจลให้ความนิ่มระดับปานกลาง ให้ความยืดหยุ่นได้ดี และมีความละเอียดกว่ารุ่นอื่น เหมาะสำหรับคนที่มีผิวบอบบาง โดยจะให้ผลลัพธ์อย่างเป็นธรรมชาติ ฉีดแล้วไม่เป็นก้อน สามารถนำมาเติมเต็มในบริเวณที่มีร่องลึกไม่มาก หรือเป็นร่องลึกระดับชั้นตื้น เป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ผ่านกระบวนการผลิตจาก Vycross

เหมาะสำหรับ : เก็บรายละเอียดริ้วรอยเล็ก ๆ เช่น บริเวณแก้ม ใต้ตา ร่องมุมปาก

ผลลัพธ์ : อยู่ได้นานประมาณ 12 เดือน (*ผลการรักษาขึ้นอยู่กับรายบุคคล)

Volbella

เป็นรุ่นที่มีเนื้อโมเลกุลขนาดเล็กและมีความละเอียดมากที่สุด มักจะนำมาฉีดในบริเวณที่ไม่ต้องการเพิ่มวอลลุ่มมาก โดยผลลัพธ์ที่ได้ก็จะมีความเป็นธรรมชาติเรียบเนียน เหมาะสำหรับนำมาเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ฉีดแล้วไม่เป็นก้อนและยังมีคุณสมบัติในการอุ้มน้ำได้ดี ผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่มีชื่อว่า Vycross Technology

เหมาะสำหรับ : ปรับผิวให้เรียบเนียน ฉีดใต้ตาชั้นลึกตามแนวกระดูกเบ้าตา ฉีดหน้าผาก หรือเติมเต็มริมฝีปากให้ชุ่มชื้นและมีความอวบอิ่ม

ผลลัพธ์ : อยู่ได้นานประมาณ 12-15 เดือน (*ผลการรักษาขึ้นอยู่กับรายบุคคล)

Juvederm Volux

Volux

รุ่นสุดท้ายที่อยู่ในกลุ่มเทคโนโลยีการผลิต Vycross เป็นรุ่นที่สารเติมเต็มให้ความหนาแน่นสูง และเป็นรุ่นที่มีเนื้อเจลแข็ง แต่ให้ความยืดหยุ่นได้ดี มันจึงเป็นรุ่นที่นิยมนำมาแต่งรูปทรงให้ได้สัดส่วนที่สวยงามมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยในเรื่องของการยกกระชับได้ดีอีกด้วย

เหมาะสำหรับ : เพิ่มความยาวของคาง สร้างแนวขากรรไกรให้คมชัด หรือปรับกรอบหน้าให้ชัดเจน

ผลลัพธ์ : อยู่ได้นานประมาณ 18-24 เดือน (*ผลการรักษาขึ้นอยู่กับรายบุคคล)

ความแตกต่างระหว่าง Juvederm และยี่ห้ออื่น ๆ

ข้อแตกต่างของสารเติมเต็มในแต่ละยี่ห้อก็คือ การนำเข้าในประเทศที่แตกต่างกัน มีกระบวนการผลิตที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของยี่ห้อนั้น ๆ รวมไปถึงระยะเวลาของผลลัพธ์ก็ยังแตกต่างกันออกไปอีกด้วย ดังนั้น มันจึงเกิดข้อเปรียบเทียบว่าควรฉีดยี่ห้อไหนดี ถึงจะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ในบทความนี้ก็เลยจะมาเปรียบเทียบระหว่าง Juvederm, Restylane และ Belotero ว่าทั้งสามตัวนี้ มีข้อดีที่แตกต่างกันอย่างไรบ้าง

การเตรียมตัวก่อนทำหัตถการ

  • หลีกเลี่ยงการทำหัตถการที่เป็นเลเซอร์ให้ความร้อน
  • หลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิว หรือผลิตภัณฑ์ที่ส่งผลให้ผิวเกิดการระคายเคือง
  • ในช่วง 5-7 วันก่อนทำหัตถการ งดรับประทานยากลุ่มที่มีผลต่อการไหลเวียนของเลือด
  • 1-3 วันก่อนใช้บริการ งดดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่
  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมต่อการรักษา
  • ในวันที่เข้าใช้บริการ ไม่แนะนำให้แต่งหน้า เพราะก่อนฉีดจะมีการทำความสะอาดผิวหน้า

การดูแลตัวเองหลังทำหัตถการ

  • ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องสำอาง เพื่อป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมเข้าไปอุดตันบริเวณรอยเข็ม
  • หลีกเลี่ยงการลูบคลำ นวด แกะ หรือเกาบริเวณที่ฉีด
  • หลีกเลี่ยงการทำหัตถการกลุ่มเลเซอร์เป็นระยะเวลา2-3 สัปดาห์หลังฉีดสารเติมเต็ม
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่มีอากาศร้อน
  • แนะนำให้รับประทานอาหารกลุ่มที่ให้โปรตีนและวิตามินต่อผิว
  • 5-7 วันหลังทำ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีรสจัด อาหารทะเล หรืออาหารที่เป็นของหมักดอง เพราะสารอาหารเหล่านี้ อาจทำให้ฟื้นตัวช้า
  • ดื่มน้ำเปล่าวันละ 2-3 ลิตร เพื่อสร้างความชุ่มชื้นให้กับผิว

รู้ไว้ปลอดภัยแน่! Juvederm แท้เช็กยังไง

Juvederm แท้เช็กยังไง
  • กล่องที่ฉีด จะต้องเป็นกล่องใหม่ที่ไม่ผ่านการเปิดใช้งาน
  • มีเอกสารกำกับภาษาไทย และเลขทะเบียน อย. อยู่ภายในกล่อง
  • ตัวกล่อง ซอง หลอดยา และสติ๊กเกอร์ จะต้องมีเลข lot. ที่ตรงกันทั้งหมด 4 จุด
  • มีวันเดือนปีที่ผลิตและหมดอายุอย่างชัดเจนบริเวณข้างกล่อง

นอกจากข้อสังเกตด้านบนแล้ว เรายังสามารถโทรไปสอบถามโดยตรงกับบริษัทที่นำเข้ายี่ห้อ Juvederm (บริษัท Allergan Thailand) ได้ที่เบอร์ 02-640-4999 หรือติดต่อไปที่ Call Center DKSH Thailand ที่เบอร์ 1364 โดยแจ้งเลข lot. ข้างกล่อง ซึ่งจะตรงกับชื่อคลินิกที่เราเข้าไปใช้บริการเลยค่ะ

ฉีดของแท้ต้องที่ด็อกเตอร์เมฆคลินิก

สารเติมเต็มทุกยี่ห้อ ที่ด็อกเตอร์เมฆคลินิกได้นำเข้ามาให้บริการ ล้วนผ่านกระบวนการเก็บมาอย่างถูกต้อง ภายใต้บริษัทผู้นำเข้าตัวยาแห่งเดียวในประเทศไทย สามารถนำกล่องไปตรวจสอบแหล่งที่มา หรือเช็กของแท้ได้ทุกกล่อง นอกจากนี้แล้ว เรายังมีการผสมผสานเทคนิคการฉีดเฉพาะที่ไม่เหมือนใคร “Triple Layers Lift” เข้ากับการประเมินและการออกแบบการรักษาแบบ case by case จนได้แนวทางการแก้ไข ปรับรูปหน้าที่เหมาะสมแบบรายบุคคล นำทีมคุณภาพการรักษาด้วยอาจารย์หมอเมฆ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังที่มีดีกรีเป็นหนึ่งในอาจารย์แพทย์ผู้สอนเทคนิคการฉีดฟิลเลอร์ในประเทศไทย ที่มีทั้งทักษะ ความรู้ ความชำนาญ และประสบการณ์ด้านการดีไซน์ใบหน้าให้ดูดีขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ โดยมาพร้อมกับความปลอดภัย จนได้รับความไว้วางใจจากผู้เข้ารับบริการ ยืนยันคุณภาพด้วยรางวัลอันดับ 1 คลินิกที่มียอดการฉีดฟิลเลอร์สูงสุดระดับประเทศและระดับเอเชีย

ฉีด Filler Juvederm ราคาเท่าไหร่

ราคาเริ่มต้นของการ filler juvederm อยู่ที่ 9,999 บาท* ทั้งนี้ค่าบริการอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับการประเมินของแพทย์ที่จะวิเคราะห์ตั้งแต่ความหนักเบาของปัญหา ปริมาณที่ควรฉีด และยี่ห้อของสารเติมเต็มที่ใช้ ควบคู่ไปกับการพูดคุยสอบถามกับคนไข้ในแต่ละเคส นอกจากนี้ ค่าบริการก็ยังขึ้นอยู่กับช่วงโปรโมชั่นที่ทางคลินิกจัดขึ้นตามเทศกาลต่าง ๆ อีกด้วยค่ะ หากใครสนใจต้องการให้แพทย์ช่วยประเมินใบหน้าเบื้องต้น สามารถทักเข้ามาสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ LINE : @doctormekclinic

คำถามที่พบบ่อย

หลังฉีดไปแล้วกี่วันถึงจะเห็นผล

เห็นผลลัพธ์ได้ทันที*ตั้งแต่ครั้งแรกที่ฉีด โดยจะเริ่มเห็นผลประมาณ 70-80% แต่หลังจากผ่านไป 1-2 สัปดาห์ ก็จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน อย่างใครที่ต้องการจัดการกับร่องลึกบริเวณแก้ม หลังฉีดไปแล้ว ร่องแก้มที่เคยเป็นเส้น ๆ ก็จะดูตื้นขึ้น ทำให้ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ลง มีความเรียบเนียน

หลังฉีดจะมีผลข้างเคียงอะไรไหม

ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดสารเติมเต็มก็คือ อาการบวมแดง คันบริเวณที่มีรอยเข็ม ซึ่งอาการเหล่านี้จะค่อย ๆ ดีขึ้นประมาณ 7-14 วัน โดยในช่วง 2-3 วันแรก จะมีอาการบวมมากกว่าปกติ แต่ไม่ต้องกังวลไปค่ะ เพราะอาการนี้มักเกิดขึ้นได้เป็นปกติ สามารถประคบเย็น หรือรับประทานยาแก้ปวดลดบวม เพื่อบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ค่ะ

แต่สำหรับผลข้างเคียงอื่น ๆ เช่น หลังครบ 14 วันไปแล้ว ยังมีอาการบวมอยู่ หรือฟิลเลอร์ไหลเป็นก้อน เป็นคลื่น ดูไม่เรียบเนียน อาการนี้เป็นอาการที่ผิดปกติ ซึ่งเกิดจากเทคนิคการฉีดของแพทย์ที่ไม่ชำนาญ ขาดประสบการณ์ในการรักษา ทำให้ฉีดไม่ถูกชั้นผิว ไม่ถูกตำแหน่ง อาจทำให้ผลลัพธ์ที่ได้ดูไม่เรียบเนียน วิธีการแก้ไขก็คือ กลับเข้าไปให้แพทย์ช่วยประเมินอาการ พร้อมฉีดสลายได้เลยค่ะ

สารเติมเต็มยี่ห้อนี้ปลอดภัยไหม

จริง ๆ แล้ว การฉีดสารเติมเต็มเป็นวิธีการเติมเต็มพร้อมแก้ไขรูปหน้าที่ให้ความปลอดภัยสูงค่ะ โดยเฉพาะยี่ห้อ Juvederm ที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ผ่านการรับรองจากสหรัฐอเมริกาและประเทศไทย ที่รับรองว่าสารเติมเต็มยี่ห้อนี้มีความบริสุทธิ์ สามารถนำมาฉีดบนใบหน้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในวงการแพทย์ความงามทั่วโลก แต่เพื่อความปลอดภัยอย่างสูงสุด แนะนำให้เลือกใช้บริการกับคลินิกที่มีความน่าเชื่อถือ มีผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐาน นำเข้าจากบริษัทยาโดยตรง และฉีดกับแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านการปรับรูปหน้า รู้เทคนิคการฉีด และเลือกใช้ชนิดที่เหมาะสมกับตำแหน่ง รวมไปถึงปัญหาของคนไข้แต่ละบุคคล

สรุป

Juvederm Filler เป็นสารเติมเต็มที่ถูกยอมรับเป็นวงกว้างทั้งในแวดวงความงามและวงการแพทย์ ด้วยประสิทธิภาพที่ออกแบบมาให้แพทย์เลือกใช้ในการรักษาได้อย่างหลากหลาย ตอบโจทย์ทุกสภาพผิว ทุกการรักษาได้อย่างครอบคลุม มีตั้งแต่โมเลกุลเล็ก ๆ จนไปถึงโมเลกุลใหญ่ แน่นอนว่าสิ่งที่ตามมาก็คือ ผลลัพธ์ที่ดีและมีประสิทธิภาพ แต่เพื่อความปลอดภัย ไม่ว่าจะฉีด Filler ยี่ห้อใดก็ตาม อย่าลืมเลือกใช้บริการกับคลินิกที่ได้มาตรฐาน และมีแพทย์เฉพาะทางด้วยนะคะ

เว็บไซด์ bestfillerclinic.com เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึก